ไข้สมองอักเสบ เป็นโรคที่เกิดการอักเสบในเนื้อเยื่อโพรงสมอง ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส และอาจเกิดจากการอักเสบที่ไม่ติดเชื้อ อาจมีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือรุนแรงจนอาจมีอาการชักและหมดสติ ควรได้รับการวินิจฉัยและการรักษาโดยด่วน เพราะอาการอักเสบอาจทำให้สมองเสียหายและนำไปสู่การเสียชีวิตได้
คำจำกัดความ
ไข้สมองอักเสบ คืออะไร
ไข้สมองอักเสบ คือการอักเสบในเนื้อเยื่อโพรงสมอง ซึ่งอาจทำให้มีอาการรุนแรงที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกิดอาการชัก ขึ้นอยู่กับส่วนของสมองที่ติดเชื้อและอักเสบ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหลายชนิด แต่มีอาการไม่รุนแรงและสามารถฟื้นตัวเป็นปกติได้หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ โอกาสการฟื้นตัวเป็นปกติของผู้ป่วยอาจขึ้นอยู่กับเชื้อไวรัสและความรุนแรงของอาการอักเสบด้วย
ไข้สมองอักเสบ พบบ่อยแค่ไหน
ไข้สมองอักเสบ เป็นโรคที่พบได้น้อย ประมาณ 1 ใน 200,000 คน/ปี เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องมักมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคไข้สมองอักเสบ
อาการ
อาการไข้สมองอักเสบ
อาการของโรคไข้สมองอักเสบมักคล้ายคลึงกับอาการของไข้หวัดใหญ่ ดังนี้
- มีไข้ ปวดศีรษะ
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ
- อ่อนเพลียและร่างกายอ่อนแรง
- สับสน มึนงง หรือวิตกกังวล
- เห็นภาพหลอน ความจำเสื่อม หรือบกพร่องทางสติปัญญา
- พฤติกรรมบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป
อาจมีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้น ได้แก่
- อาการชัก
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- การพูดหรือการได้ยินมีปัญหา
- อัมพาตบนใบหน้าตามร่างกายบางส่วน
- หมดสติ และมีอาการโคม่า
ในทารกและเด็กเล็กอาจมีอาการ ดังนี้
- คลื่นไส้และอาเจียน
- ไม่รับประทานอาหาร หรือนอนนานขึ้น
- กะโหลกศีรษะของทารกบวมและนูน
- ร่างกายแข็ง
- ร้องไห้ งอแง และหงุดหงิดง่าย
การติดเชื้อบางชนิด อาจทำให้มีอาการดังต่อไปนี้
- ไข้สมองอักเสบจากไวรัสเริมในระยะแรก อาจทำให้เกิดอาการความรู้สึกเหมือนเดจาวู เป็นอาการหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต
- โรคไข้สมองอักเสบจากภูมิต้านทานผิดปกติ อาจทำให้เกิดอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม และการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติบกพร่อง การรับรู้ลดลง ใบหน้าและปากขยับผิดปกติ
- สมองอักเสบจากแอนติบอดีต่อตัวรับ NMDA เกิดจากภาวะภูมิต้านทานตัวเอง มักทำให้มีอาการชักหรือการเคลื่อนไหวผิดปกติ
สาเหตุ
สาเหตุไข้สมองอักเสบ
ไข้สมองอักเสบ ส่วนใหญ่มักเกิดจากเชื้อไวรัส การติดเชื้อแบคทีเรีย และภาวะอักเสบที่ไม่ติดเชื้อก็อาจทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบได้ ซึ่งโรคไข้สมองอักเสบแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- ไข้สมองอักเสบปฐมภูมิ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในสมองโดยตรง ซึ่งอาจเกิดขึ้นเพียงตำแหน่งเดียว หหรือเกิดขึ้นแบบแพร่กระจายก็ได้ และอาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อจากอาการป่วยก่อนหน้า
- ไข้สมองอักเสบทุติยภูมิ เกิดจากความผิดพลาดของระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ได้ทำลายเพียงเชื้อโรค แต่ทำลายเซลล์ปกติในสมองด้วย เรียกว่า โรคไข้สมองอักเสบหลังจากการติดเชื้อ มักเกิดขึ้นหลังจากการติดเชื้อประมาณ 2-3 สัปดาห์
สาเหตุที่เกิดจากไวรัสที่พบบ่อย
- ไวรัสที่มียุงเป็นพาหะ เช่น เชื้อไวรัสเวสต์ไนล์ (West Nile Virus หรือ WNV) ไวรัสอีอีอี (Eastern equine encephalitis หรือ EEE) La Crosse St. Louis และ western equine ไวรัสเหล่านี้สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อ โดยอาจมีอาการภายใน 2-3 วัน หรือ 2 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อ
- ไวรัสที่มีเห็บเป็นพาหะ ไวรัสโพวาซัน (Powassan) ที่มาจากเห็บ ทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบและ จะแสดงอาการหลังถูกเห็บที่ติดเชื้อกัดประมาณ 1 สัปดาห์
- ไวรัสเริม (HSV) ทั้ง HSV ชนิด 1 และ 2 อาจทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบได้ และหากเกิดจาก HSV ชนิด 1 อาจส่งผลให้สมองเสียหายและอาจทำให้เสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ไข้สมองอักเสบอาจเกิดจากไวรัสเริมชนิดอื่น เช่น ไวรัส Epstein-Barr มักทำให้เกิดการติดเชื้อ โมโนนิวคลีโอสิส (Mononucleosis) และ วาริเซลลา (Varicella-zoster) มักทำให้เกิดโรคงูสวัดและอีสุกอีใส
- เอนเทอโรไวรัส (Enteroviruses) โปลิโอไวรัส (Poliovirus) และค็อกซากีไวรัส (Coxsackievirus) มักทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ตาอักเสบ ปวดท้อง
- ไวรัสพิษสุนัขบ้า มักเป็นสาเหตุที่พบได้น้อยและติดต่อเมื่อถูกสัตว์ที่ติดเชื้อกัด และเชื้อจะลุกลามอย่างรวดเร็วทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบ
- การติดเชื้อในวัยเด็ก เช่น โรคหัด โรคหัดเยอรมัน โรคคางทูม ซึ่งโรคหัดเยอรมันมักเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของโรคไข้สมองอักเสบทุติยภูมิ สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด โรคหัดเยอรมัน และโรคคางทูม
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงไข้สมองอักเสบ
ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไข้สมองอักเสบ ดังนี้
- ผู้ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน หรือติดเชื้อเอชไอวี
- อายุ ไข้สมองอักเสบส่วนใหญ่พบในเด็กและผู้สูงอายุ
- ลักษณะที่อยู่อาศัย ไข้สมองอักเสบมีพาหะมาจากยุง หากที่อยู่อาศัยเอื้อต่อการวางไข่ของยุงอาจเพิ่มความเสี่ยงได้
- ฤดูกาล ช่วงฤดูร้อนและฤดูฝนมักเป็นช่วงที่ยุงวางไข่และชุกชุม
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยไข้สมองอักเสบ
ในการวินิจฉัยโรคไข้สมองอักเสบ คุณหมออาจต้องประเมินอาการร่วมด้วย เช่น อาการไข้ อาการชัก ภาวะการรับรู้ที่ผิดปกติ พฤติกรรมและการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ พร้อมทำการทดสอบ ดังนี้
- การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะและอุจจาระ เพื่อตรวจหาการติดเชื้อ
- การสร้างภาพประสาท (Neuroimaging) เช่น การทำ MRI สมอง หรือ CT scan
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalogram หรือ EEG) เพื่อตรวจสอบการทำงานของไฟฟ้าในสมอง และตรวจหาอาการชัก
- การเจาะไขสันหลัง เพื่อตรวจหาสัญญาณการติดเชื้อในสมองหรือไขสันหลัง
คุณหมออาจใช้วิธีทดสอบอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น
- การเพาะเชื้อเสมหะ เพื่อทดสอบหาการติดเชื้อหรือ
- การส่องกล้องจุลทรรศน์เพื่อตรวจเนื้อเยื่อสมองที่ติดเชื้อ
- ตรวจความดันในกะโหลกศีรษะ เพื่อตรวจอาการบวมของสมอง
ผู้ป่วยควรได้รับการวินิจฉัยโรคไข้สมองอักเสบทันทีเพื่อลดความเสี่ยงเสียชีวิตที่อาจเกิดจากการอักเสบที่ส่งผลให้สมองบาดเจ็บ
การรักษาไข้สมองอักเสบ
การรักษาโรคไข้สมองอักเสบอาจขึ้นอยู่กับอาการและสาเหตุของโรค ดังนี้
- ใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านเชื้อรา เพื่อจัดการกับการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
- ใช้ยาต้านไวรัส เพื่อจัดการกับการติดเชื้อไวรัสเริม ไวรัสอีสุกอีใส ที่เป็นสาเหตุของไข้สมองอักเสบ
- บำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน เช่น การอิมมูโนโกลบูลินในหลอดเลือดดำ (IVIg) การใช้สเตียรอยด์ หรือการเปลี่ยนพลาสมา เพื่อจัดการกับโรคไข้สมองอักเสบที่เกิดจากภูมิต้านทานผิดปกติ
- ผ่าตัดเพื่อหยุดการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเนื้องอก หากไข้สมองอักเสบกระตุ้นการเติบโตของเนื้องอก
นอกจากนี้ ยังมีการยังมีการรักษาเพื่อบรรเทาอาการ ได้แก่
- ใช้ยาแก้ปวด เพื่อลดอาการไม่สบายตัว หรือมีไข้
- ใช้ยารักษาอาการชัก
- ใช้ยาลดการสะสมของความดันภายในกะโหลกศีรษะ
- ใช้ยาช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เพื่อลดอาการวิตกกังวลหรือกระวนกระวายใจ
- อาจใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อช่วยควบคุมการหายใจให้เป็นปกติ
สำหรับการรักษาโรคไข้สมองอักเสบ ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจต้องอยู่ในห้องไอซียู เพื่อให้คุณหมอสามารถเฝ้าระวังสมองบวม อาการชัก การหายใจล้มเหลว หรือการเปลี่ยนแปลงของจังหวะการเต้นของหัวใจ
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อจัดการเกล็ดเลือดต่ำ
การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ สามารถทำได้ดังนี้
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำ โดยเฉพาะหลังใช้ห้องน้ำและก่อนรับประทานอาหาร
- หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น เสื้อผ้า ช้อนส้อม
- ระวังอย่าให้ยุงกัด โดยการแต่งตัวให้มิดชิดเมื่ออยู่ในบริวณที่เป็นป่าหรือหญ้าทึบ ใช้ยากันยุงเสมอ หลีกเลี่ยงสถานที่ที่ยุงชุกชุม ซ่อมแซมบ้าน และปิดบ้านให้สนิทเพื่อไม่ให้ยุงเข้าบ้านได้ เทน้ำที่ขังออกเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งขยายพันธุ์ยุง และใช้ยาฆ่าแมลงเพื่อไล่ยุงหรือแมลงที่เป็นพาหะเชื้อโรค
- ฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจนำไปสู่โรคไข้สมองอักเสบ เช่น วัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน และคางทูม สำหรับนักเดินทางอาจฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese encephalitis vaccine) วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบที่เกิดจากเห็บ (Tick-borne encephalitis vaccine) และวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า