backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema)

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 31/08/2021

โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema)

โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) เป็นภาวะหนึ่งที่อาจนำพาไปสู่เกิดโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ และส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนมากมาย เช่น ปอดยุบตัว เกิดรูขนาดใหญ่ในปอด เพิ่มความดันในหลอดเลือดแดงของหัวใจและปอดเพิ่มมากขึ้น หากไม่เข้ารีบรักษาอาจหายใจลำบาก ไอเรื้อรัง รวมไปถึงสุขภาพทางเดินหายใจเสียหายอย่างหนักได้

คำจำกัดความ

โรคถุงลมโป่งพอง คืออะไร

โรคถุงลมโป่งพอง คือหนึ่งในโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โดยโดยจะส่งผลให้ถุงลมเสียความยืดหยุ่น อาจทำให้เยื่อบุของถุงลมได้รับความเสียหาย และแตกตัวออกจนเกิดช่องว่างภายใน ทำให้ปอดมีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้น้อยลง และขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายได้ยากขึ้น

อาการ

อาการของ โรคถุงลมโป่งพอง

อาการของ ถุงลมโป่งพอง มักแตกต่างกันออกไป โดยอาการที่พบบ่อยที่สุด มีดังนี้

  • ไอบ่อยและต่อเนื่อง
  • หายใจตื้น
  • มีเสมหะปริมาณมาก
  • แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก

ในรายที่มีอาการเรื้อรัง อาจมีอาการดังต่อไปนี้

  • หายใจมีเสียงหวีด
  • ปอดติดเชื้อ
  • น้ำหนักลดลงจากอาการไม่อยากอาหาร หรือเบื่ออาหาร
  • รู้สึกเหนื่อยล้าง่าย
  • ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีซีดเนื่องจากขาดออกซิเจน

สาเหตุ

สาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง

สาเหตุที่ทำให้ ถุงลมโป่งพอง และเกิดการระคายเคืองในช่องทางเดินหายใจเป็นเวลานาน มีดังต่อไปนี้

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงของโรคถุงลมโป่งพอง

แม้ว่าความเสียหายของถุงลมจะเกิดจากภาวะต่าง ๆ รอบตัว และบางคนอาจไม่เผยอาการใด ๆ แต่จะมีอาการชัดขึ้นในอายุ 40-60 ปี หรือเข้าสู่ช่วงวัยผู้สูงอายุ และอาการจะมีการพัฒนาที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน และรุนแรงมากขึ้นตามมา โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องมาแทบทั้งชีวิต

อีกทั้งการที่ร่างกายขาดเอนไซม์ Alpha 1-antitrypsin (AAT) ซึ่งเป็นโปรตีนในเม็ดเลือดโดยมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้เซลล์เม็ดเลือดขาวทำลายเนื้อเยื่อ ก็อาจนำไปสู่การทำลายปอดได้

การวินิจฉัยและการรักษา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

การวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพอง

การวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพอง ที่คุณหมอใช้ เพื่อประเมินหาสาเหตุก่อนการรักษา มีดังนี้

  • การเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์ (CT Scan) เป็นเทคนิคที่ถ่ายจากทุกทิศทาง เพื่อสร้างมุมตัดขวางของอวัยวะภายในเช็กความผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด
  • การตรวจเลือด คุณหมออาจเจาะเลือดนำไปทดสอบว่ามีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ในเลือดหรือไม่ เพื่อเช็กว่าปอดมีการทำงานเพิ่มออกซิเจน และกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีมากเพียงใด
  • ทดสอบการทำงานของปอด เป็นการทดสอบด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า สไปโรเมตรีย์ (Spirometry) เพื่อเช็กว่าปอดมีการเก็บอากาศได้มากแค่ไหน มีการไหลเวียนของอากาศได้ดีหรือไม่

การรักษาโรคถุงลมโป่งพอง

โรคถุงลมโป่งพอง อาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษานี้จะช่วยบรรเทาอาการ และชะลอการลุกลามของโรคไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนมากขึ้นได้ โดยคุณหมอจะรักษาตามอาการ และผลจากการวินิจฉัย ด้วยเทคนิคทางการแพทย์ต่าง ๆ ดังนี้

  • การกำหนดยาตามอาการ ยาส่วนใหญ่ที่คุณหมอกำหนดให้อาจเป็นยาบรรเทาอาการไอ ยาคลายหลอดลมที่ตีบตัน และยาปฏิชีวนะที่ช่วยกำจัดแบคทีเรีย บางกรณีก็อาจกำหนดยาในรูปแบบพ่นผ่านทางปาก และโพรงจมูกร่วมด้วย
  • การบำบัดฟื้นฟูสุขภาพปอด เป็นโปรแกรมที่สอนควบคุมการหายใจ และการออกกำลังกายอย่างถูกวิธี เพื่อลดอาการหอบ
  • การบำบัดด้วยออกซิเจน หากภาวะ ถุงลมโป่งพอง อยู่ในระดับรุนแรงที่ส่งผลทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ การใช้ออกซิเจนเสริมที่สูดดมเข้าไปผ่านทางโพรงจมูก อาจช่วยทำให้อาการดีขึ้นได้ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ควรมีติดบ้านเอาไว้ ป้องกันในภาวะฉุกเฉิน
  • การผ่าตัด การผ่าตัดหลัก ๆ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือการปลูกถ่ายปอดใหม่ และการกำจัดชิ้นเนื้อเยื่อปอดที่เสียหายออก เพื่อให้เนื้อเยื่อปอดที่เหลือขยายตัว ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตนเอง

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือดูแลตนเองเพื่อป้องกัน ถุงลมโป่งพอง

เพื่อไม่ให้ถุงลม และปอดได้รับความเสียหายจนเกิด ถุงลมโป่งพอง ขึ้น วิธีดังต่อไปนี้ อาจช่วยได้

  • เลิกบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงการสูดดมสารที่ทำให้เกิดความระคายเคืองในทางเดินหายใจ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอในรูปแบบที่เหมาะสม
  • ไม่ควรอยู่ในสภาพอากาศที่เย็นจนเกินไป เพราะอาจทำให้หลอดลมหดเกร็ง
  • ฉีดวัคซีนให้ครบตามกำหนด โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันโรคปอดบวม และไข้หวัดใหญ่
  • ควรอยู่ห่างจากบุคคลที่เป็นหวัด
  • ล้างมือบ่อย ๆ หลังจากการสัมผัส หรือทำธุระส่วนตัว
  • สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็นต้องไปในสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 31/08/2021

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา