คลอดลูกธรรมชาติ เป็นวิธีการคลอดตามแบบปกติโดยไม่ใช้การผ่าตัด เหมาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคน ยกเว้นกรณีที่คุณแม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ช่องคลอดไม่ขยาย ภาวะรกเกาะต่ำ ลูกไม่กลับศีรษะ ครรภ์เป็นพิษ ทารกได้รับสารอาหารและออกซิเจนไม่เพียงพอ ที่อาจจำเป็นต้องใช้วิธีการผ่าคลอดแทนเพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และทารก
[embed-health-tool-due-date]
คลอดลูกธรรมชาติ คืออะไร
การคลอดลูกธรรมชาติ คือ การคลอดลูกโดยไม่ใช้การผ่าตัดเพื่อทำคลอด แต่อาจใช้วิธีการควบคุมการหายใจเป็นจังหวะ เพื่อช่วยเพิ่มแรงเบ่งทารกให้ออกมาผ่านช่องคลอด โดยมีคุณหมอคอยบอกจังหวะการหายใจ การคลอดทารกแบบธรรมชาติอาจใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงหรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาวะสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์
การคลอดลูกธรรมชาติ มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร
ข้อดีและข้อเสียของการคลอดลูกธรรมชาติ มีดังนี้
-
ข้อดี
การคลอดลูกธรรมชาติ มีข้อดีตรงที่คุณแม่สามารถฟื้นตัวหลังคลอดได้ไวกว่าการผ่าคลอด เนื่องจากไม่มีบาดแผลขนาดใหญ่จากการผ่าตัด อีกทั้งยังอาจทำให้คุณแม่ได้รับประสบการณ์การคลอดลูก และรู้สึกใกล้ชิดกับทารกได้มากกว่าการผ่าคลอด
-
ข้อเสีย
คุณแม่อาจต้องทนเจ็บปวดกับมดลูกที่หดและขยายเป็นเวลานาน เนื่องจากต้องรอให้ปากมดลูกเปิดกว้างพอที่ศีรษะของทารกจะออกมาได้ นอกจากนี้ บางคนอาจเสี่ยงต่อการตกเลือดเนื่องจากรกหลุดออกไม่หมด
วิธีบรรเทาอาการเจ็บปวดระหว่างคลอดลูกแบบธรรมชาติ
ในช่วงระยะเวลาที่รอให้ปากมดลูกขยายระหว่างการคลอดธรรมชาติ คุณแม่อาจสามารถบรรเทาอาการปวดได้ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- ทำสมาธิ โยคะ
- เดินช้า ๆ
- นวดตามลำตัวและหลัง โดยอาจให้สามี หรือคนรอบข้างคอยนวดผ่อนคลาย
- อาบน้ำ แช่น้ำอุ่น
- ทำกิจกรรมที่ชื่นชอบเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ เช่น เปิดเพลงฟัง อ่านหนังสือ
- เปลี่ยนท่านอนหรือท่านั่ง
- ทำใจสบาย ๆ ให้กำลังใจตนเอง
นอกจากนี้ ผู้คนที่อยู่รอบข้างควรให้กำลังใจ คอยดูแลคุณแม่อย่างใกล้ชิดเพราะ ระหว่างที่รอให้ปากช่องคลอดขยายอาจทำให้คุณแม่เจ็บปวด วิตกกังวล และต้องการกำลังใจเป็นอย่างมาก
การดูแลตัวเองหลังคลอดลูก
การดูแลสุขภาพของตัวเองหลังคลอด มีดังนี้
- พักผ่อนให้มาก ๆ โดยอาจขอความช่วยเหลือเรื่องการดูแลลูกจากสามีและคนในครอบครัว หรืออาจหาเวลางีบหลับเมื่อทารกนอน
- รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น ผลไม้ ธัญพืช ผัก ผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อสัตว์ไร้ไขมัน และดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวจากอาการเจ็บปวด อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง
- หมั่นออกกำลังกายในระดับเบาเป็นประจำ เช่น การเดิน เพื่อช่วยเผาผลาญแคลอรี่ กระชับกล้ามเนื้อ และช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิมได้เร็วขึ้น
- ประคบเย็นบริเวณช่องคลอดเพื่อบรรเทาอาการปวดบวม
- หลีกเลี่ยงการนั่งบนพื้นผิวแข็ง ควรนำหมอนมารองก่อนนั่งเพื่อลดการกดทับ
- ทำความสะอาดแผลคลอดทุกครั้งหลังจากเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว ด้วยการใช้น้ำอุ่นล้างหรือใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดบริเวณแผลจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ใส่ผ้าอนามัยเพื่อป้องกันเลือดออกทางช่องคลอด ในช่วง 2-3 วันแรกหลังคลอด เนื่องจากรางกายกำลังกำจัดเนื้อเยื่อและเลือดที่ตกค้างภายในมดลูก โดยเลือดอาจจะไหลมากที่สุดในช่วง 10 วันแรก ก่อนจะลดลงหรือหยุดไหลเองภายใน 6 สัปดาห์
- เปลี่ยนเสื้อชั้นในให้มีขนาดที่พอดีหรือใหญ่กว่าเต้านม สวมใส่สบาย ไม่กดทับหน้าอก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจทำร่างกายผลิตน้ำนมเตรียมให้ทารกหลังคลอด ซึ่งอาจส่งผลให้เต้านมขยาย คัดเต้า เจ็บหน้าอก
- บรรเทาอาการปวดเกร็งท้องที่อาจเกิดจากมดลูกหดตัวกลับเข้าสู่ภาวะปกติก่อนการตั้งครรภ์ ด้วยการนำถุงน้ำร้อนมาวางไว้บนหน้าท้อง หรืออาจรับประทานยาแก้ปวดที่คุณหมอแนะนำ
- ตรวจสุขภาพช่องคลอด ปากมดลูก และสุขภาพอื่น ๆ ภายใน 6 สัปดาห์หลังคลอด หรือตามวันที่คุณหมอกำหนด
อาการผิดปกติที่ควรเข้าพบคุณหมอ
อาการผิดปกติที่ควรสังเกตหลังคลอด และควรเข้าพบคุณหมอทันที มีดังต่อไปนี้
- วิงเวียนศีรษะ
- มีไข้สูงกว่า 38 องศา
- หนาวสั่น
- อาเจียน
- ใจสั่น เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก
- การมองเห็นเปลี่ยนแปลง ตาพร่า
- ปวดท้องรุนแรง
- ตกขาวมีกลิ่น
- มีเลือดออกจากช่องคลอดในปริมาณมาก หรือล้นผ้าอนามัยภายใน 1 ชั่วโมง