backup og meta

เลือดออกขณะตั้งครรภ์ อาการ สาเหตุ การดูแลตัวเอง

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงวรัญญา สิริธนาสาร · สุขภาพทางเพศ · โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์


เขียนโดย ทีม Hello คุณหมอ · แก้ไขล่าสุด 16/05/2022

    เลือดออกขณะตั้งครรภ์ อาการ สาเหตุ การดูแลตัวเอง

    เลือดออกขณะตั้งครรภ์ อาจเป็นภาวะบ่งชี้ความผิดปกติในครรภ์ ที่อาจต้องได้รับการวินิจฉัยหรือการรักษาทันที ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงเวลาของการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม ในบางราย เลือดขณะตั้งครรภ์อาจไม่เป็นอันตรา เช่น เลือดออกจากการฝังตัวของตัวอ่อน แต่เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อคุณแม่และลูกในท้อง หากมีเลือดออกขณะตั้งครรภ์​ ควรเข้ารับการตรวจหาสาเหตุ เพื่อที่จะได้รักษาได้อย่างทันท่วงที

    อาการเลือดออกขณะตั้งครรภ์

    อาการเลือดออกขณะตั้งครรภ์ที่อาจพบได้ทั่วไป มีดังนี้

    • มีเลือดออกมากผิดปกติ
    • อ่อนเพลีย
    • ปวดท้องอย่างรุนแรง หรือปวดไหล่
    • กระหายน้ำมาก
    • เวียนศีรษะ และอาการอาจแย่ลงเมื่อลุกขึ้นยืน
    • มีไข้ หรือหนาวสั่น
    • เป็นลม
    • ตกขาวมีกลิ่นผิดปกติ

    สาเหตุของเลือดออกขณะตั้งครรภ์

    เลือดออกขณะตั้งครรภ์ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ดังนี้

    การตั้งครรภ์ไตรมาสแรก

    สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ของการมีเลือดออกขณะตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสแรก ได้แก่

    • ปัญหาเกี่ยวกับปากมดลูก เช่น การติดเชื้อที่ปากมดลูก ปากมดลูกอักเสบ
    • เลือดล้างหน้าเด็ก (Implantation Bleeding) อาจเกิดจากตัวอ่อนฝังตัวอยู่ในเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากการปฏิสนธิประมาณ 10-14 วัน
    • การตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic Pregnancy) อาจเกิดจากการที่ตัวอ่อนฝังตัวและเจริญเติบโตนอกมดลูก เช่น ในท่อนำไข่ อาการเลือดออกจากช่องคลอดจะพบได้ประมาณร้อยละ 50-80 ของผู้ป่วย เลือดที่ออกมักมีจำนวนน้อย ลักษณะเป็นแบบเลือดเก่า ๆ และออกกะปริบกะปรอย
    • ภาวะแท้งคุกคาม (Threatened Abortion) ภาวะผิดปกติของการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ โดยมีอาการเลือดออกทางช่องคลอดปริมาณเล็กน้อยถึงปานกลาง ลักษณะอาจเป็นเลือดสดหรือมูกเลือด โดยที่ปากมดลูกยังไม่เปิด และมักจะไม่มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย แต่บางรายอาจมีปวดหน่วงท้องน้อยคล้ายปวดประจำเดือนร่วมด้วยได้
    • การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก (Molar Pregnancy) เกิดจากเซลล์ของรกแบ่งตัวผิดปกติ คือ ในภาวะปกติ หลังจากไข่ได้รับการผสมกับอสุจิและปฏิสนธิแล้ว จะมีเซลล์ชั้นนอกเจริญเติบโตเป็นรก แต่ในกรณีที่เป็นการตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก เซลล์จะเปลี่ยนกลายเป็นถุงน้ำเล็ก ๆ จำนวนมากอยู่ในโพรงมดลูก ผู้ป่วยมักมีอาการแพ้ท้องรุนแรงกว่าปกติ ต่อมไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติ ร่วมกับมีอาการเลือดออกทางช่องคลอดมักมีสีแดงคล้ำและอาจมีชิ้นเนื้อคล้ายเม็ดสาคูออกมาด้วยตอนอายุครรภ์ประมาณ 9 -16 สัปดาห์
    • การแท้งบุตร (Miscarriage หรือ Abortion) คือ การสูญเสียทารกในครรภ์ก่อนสัปดาห์ที่ 20

    การตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2 หรือ 3

    สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ของการมีเลือดออกขณะตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่ 2 หรือไตรมาสที่ 3 อาจได้แก่

    • การแท้งบุตร ก่อนสัปดาห์ที่ 20 หรือการเสียชีวิตของทารกในครรภ์
    • รกเกาะต่ำ (Placenta Previa) เมื่อรกคลุมปากมดลูก อาจทำให้เลือดออกรุนแรงในระหว่างตั้งครรภ์
    • รกลอกตัว (Placental Abruption) คือ ภาวะที่รกซึ่งทำหน้าที่ให้สารอาหารและออกซิเจนแก่ทารกแยกออกจากผนังมดลูก
    • ปัญหาเกี่ยวกับปากมดลูก เช่น การติดเชื้อที่ปากมดลูก ปากมดลูกอักเสบ หรือการเจริญเติบโตของปากมดลูก
    • มดลูกแตก (Uterine Rupture) ภาวะที่มดลูกเปิดออกตามแนวแผลเป็นจากส่วนที่เป็นแผลผ่าตัดคลอด (C-section) แม้จะเกิดขึ้นได้ยาก แต่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
    • การคลอดก่อนกำหนด (Preterm labor) เกิดจากการที่ปากมดลูกเปิดก่อนกำหนด อาจส่งผลให้มีเลือดออกขณะตั้งครรภ์เล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมดลูกหดรัดตัว ปวดหลัง หรือปวดช่องท้องด้านล่างบริเวณอุ้งเชิงกราน
    • เลือดออกทางช่องคลอด ซึ่งเป็นอาการเตือนตอนใกล้คลอด ผู้ป่วยจะมีมูกเลือดออกทางช่องคลอดปริมาณไม่มาก ร่วมกับมีอาการเจ็บครรภ์คลอดจากมดลูกหดรัดตัวร่วมด้วย

    การวินิจฉัยเลือดออกขณะตั้งครรภ์

    สำหรับการวินิจฉัยภาวะเลือดออกขณะตั้งครรภ์ คุณหมออาจต้องตรวจช่องคลอดและกระดูกเชิงกราน รวมถึงอาจต้องใช้การทดสอบอื่น ๆ ต่อไปนี้ด้วย

    • การตรวจเลือด เป็นการตรวจระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ในเลือด รวมถึงการตรวจดูภาวะซีดในกรณีที่มีเลือดออกปริมาณมาก
    • การตรวจอัลตราซาวด์ เป็นการใช้คลื่นเสียงสะท้อนเพื่อสร้างภาพถ่ายตรวจดูทารกในครรภ์ อาจใช้ระยะเวลาในการตรวจประมาณ 15-20 นาที
    • การตรวจท้อง เพื่อดูลักษณะและตรวจสอบความผิดปกติของทารกในครรภ์
    • การตรวจภายใน เพื่อประเมินลักษณะและปริมาณเลือดที่ออก ดูความผิดปกติภายในช่องคลอดและปากมดลูก รวมทั้งประเมินภาวะฉุกเฉิน เช่น การตั้งครรภ์นอกมดลูก

    การรักษาอาการเลือดออกขณะตั้งครรภ์

    วิธีรักษาอาการเลือดออกขณะตั้งครรภ์มักขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เลือดออก หากมีเลือดออกขณะตั้งครรภ์เพียงเล็กน้อย เช่น ภาวะแท้งคุกคาม อาการอาจหายได้เองภายใน 1-2 วัน ซึ่งทารกที่คลอดออกมาจากคุณแม่ที่มีอาการเลือดออกขณะตั้งครรภ์ อาจมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง แต่หากเลือดออกมาก อาจทำให้เกิดการแท้งบุตรได้ หากแท้งบุตรและไม่ได้รับการรักษาทันที อาจทำให้เนื้อเยื่อบางส่วนยังคงค้างอยู่ในมดลูกเรียกว่าภาวะแท้งค้าง และทำให้เลือดออกมาก ดังนั้น เมื่อตั้งครรภ์และมีเลือดออกผิดปกติ ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อประเมินอาการและรักษาได้ทัน

    วิธีดูแลตัวเองที่บ้าน

    แม้ว่าจะยังไม่มีวิธีการรักษาเฉพาะเมื่ออาการเลือดออกขณะตั้งครรภ์ แต่วิธีต่อไปนี้อาจช่วยให้รับมือกับภาวะเลือดออกขณะตั้งครรภ์ได้ดีขึ้น

    • พักผ่อนให้เพียงพอ
    • หากมีอาการปวดไม่มาก อาจบรรเทาอาการได้ด้วยยาพาราเซตามอล
    • ใช้ผ้าอนามัยแบบแผ่นแทนการใช้ผ้าอนามัยแบบสอด หากมีเลือดออกขณะตั้งครรภ์
    • หากมีเลือดออกขณะตั้งครรภ์ ถึงแม้ว่าเลือดจะหยุดไหลแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ เพราะอาจทำให้ภาวะเลือดออกขณะตั้งครรภ์กลับมาอีกครั้ง
    • หากมีปริมาณเลือดออกมากขึ้น ปวดท้องน้อยมากขึ้น หรือลูกดิ้นน้อยลงในระยะท้ายของการตั้งครรภ์ หรือมีอาการอื่น ๆ ที่ผิดปกติร่วมด้วย ให้รีบไปพบคุณหมอทันที

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงวรัญญา สิริธนาสาร

    สุขภาพทางเพศ · โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์


    เขียนโดย ทีม Hello คุณหมอ · แก้ไขล่าสุด 16/05/2022

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา