- ยาไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) เพื่อลดอาการบวมและอักเสบของผิวหนัง
- ยาต้านเชื้อรา (Antifungal Medicines) หรือยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) เพื่อลดการติดเชื้อ
- ครีมที่ส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์ (Zinc Oxide) ที่อาจช่วยบรรเทาอาการคันและระคายเคืองผิวหนัง
- ยาหรือขี้ผึ้งสเตียรอยด์ ตามคำแนะนำของคุณหมอ
ผื่นกุหลาบหรือส่าไข้ (Roseola)
ภาวะติดเชื้อที่ผิวหนังที่มักพบในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไวรัสฮิวแมนเฮอร์ปีส์ชนิดที่ 6 (Human Herpesvirus Type 6) และไวรัสฮิวแมนเฮอร์ปีส์ชนิดที่ 7 (Human Herpesvirus Type 7) ซึ่งเป็นไวรัสจำพวกเดียวกับโรคเริมที่ติดต่อผ่านการสัมผัสเชื้อจากผู้ป่วย เด็กที่เป็นผื่นกุหลาบมักมีไข้สูง และเกิดผดผื่นลักษณะเป็นจุดขนาดเล็กแบนราบไปกับผิวขึ้นเป็นหย่อม ๆ บนผิวหนัง เริ่มจากบริเวณกลางลำตัว เช่น หน้าอก หลัง หน้าท้อง และอาจจะแพร่กระจายไปด้านนอกลำตัวตามใบหน้า ลำคอ แขนและขา ผื่นกุหลาบมักไม่ทำให้เกิดอาการคันหรือทำให้รู้สึกเจ็บ และในบางกรณีอาจไม่มีไข้ร่วมด้วย
วิธีรักษา โรคผื่นกุหลาบไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ ส่วนใหญ่จะรักษาตามอาการ การใช้ยาและการดูแลเด็กด้วยวิธีต่อไปนี้ อาจช่วยให้อาการของโรคผื่นกุหลาบทุเลาและหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์
- สำหรับเด็กเล็กและเด็กโต สามารถให้รับประทานยาแก้ไข้ เช่น ไอบูโพรเฟน พาราเซตามอล ในปริมาณที่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวของเด็กตามที่ระบุไว้บนฉลากยา และควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงอย่างโรคเรย์ซินโดรม (Reye’syndrome) ที่สร้างความเสียหายให้กับอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย โดยเฉพาะสมองและตับ ส่งผลให้มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เซื่องซึม ชัก หมดสติ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
- ให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำให้มาก ๆ รวมถึงเช็ดตัวให้เด็กบ่อย ๆ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย ซึ่งอาจช่วยให้ไข้ลดลงได้
เป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella zoster) อาการจะเริ่มจากมีไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ไม่อยากอาหาร ประมาณ 1-2 วัน จากนั้นจะเป็นระยะออกผื่น เกิดเป็นตุ่มนูนแดงหรือตุ่มใส ๆ อาจเริ่มพบที่ผิวหนังบริเวณหนังศีรษะ หน้าอก หลัง และใบหน้า แล้วแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ไม่นานตุ่มน้ำจะแตกออก แล้วแผลจะแห้งและตกสะเก็ด ผู้ป่วยอาจมีอาการอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนอาการจะค่อย ๆ ทุเลา ในระหว่างที่เป็นโรคอีสุกอีใสควรแยกเด็กออกจากเด็กคนอื่นและผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
วิธีรักษา
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย