backup og meta

หนองในหายเองได้ไหม มีวิธีรักษาและการป้องกันอย่างไร

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงนันทิวดี มาเมือง · สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 27/02/2024

    หนองในหายเองได้ไหม มีวิธีรักษาและการป้องกันอย่างไร

    หนองในหายเองได้ไหม อาจเป็นคำถามที่ผู้ที่เป็นหนองในสงสัย หนองในเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ที่ส่งผลให้มีอาการคันอวัยวะเพศ ตกขาวผิดปกติ อัณฑะบวม และมีของเหลวไหลออกจากอวัยวะเพศ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะมีบุตรยาก ท่ออสุจิอักเสบ การแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียที่ส่งผลกระทบต่อข้อต่อและผิวหนัง

    หนองในเกิดจากอะไร

    หนองใน เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ หนองในแท้ (Gonorrhea) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียไนซีเรีย โกโนเรีย (Neisseria Gonorrhoeae) และหนองในเทียม (Chlamydia) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียคลาไมเดีย ทราโคมาติส (Chlamydia Trachomatis)

    โรคหนองในสามารถแพร่กระจายได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันทางช่องคลอด ปาก และทวารหนัก นอกจากนี้ หากสตรีตั้งครรภ์เป็นหนองในก็อาจแพร่กระจายไปยังทารกได้ระหว่างการคลอดบุตร ทารกที่ติดเชื้อหนองในอาจมีความเสี่ยงต่อโรคปอด และการติดเชื้ออย่างรุนแรงที่ดวงตา ดังนั้น จึงควรรีบรักษาให้หายก่อนถึงกำหนดคลอด

    ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดหนองใน มีดังนี้

    • มีคู่นอนหลายคน
    • เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
    • ไม่สอบถามข้อมูลประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของคู่นอนก่อนมีเพศสัมพันธ์
    • ใช้เซ็กส์ทอยร่วมกันโดยไม่ทำความสะอาดก่อน
    • ใช้ของส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดตัว ชุดชั้นใน ร่วมกับผู้อื่น

    อาการหนองใน

    อาการหนองใน มีดังนี้

    อาการหนองในของผู้หญิง

    • เจ็บแสบอวัยวะเพศขณะปัสสาวะและอาจมีเลือดออกทางช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์
    • มีอาการคันบริเวณช่องคลอดและทวารหนัก
    • ปวดท้องน้อยและปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน
    • ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็น
    • มีตกขาวปริมาณมาก และสีตกขาวผิดปกติ เช่น สีเขียว สีเหลือง

    อาการหนองในของผู้ชาย

  • มีหนองไหลออกจากปลายองคชาต
  • ปวดอัณฑะ
  • อัณฑะบวม
  • เจ็บแสบอวัยวะเพศขณะปัสสาวะ
  • หนองในสามารถแพร่กระจายและส่งผลกระทบต่ออวัยวะส่วนอื่นในร่างกาย จึงอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตาไวต่อแสง ปวดตา น้ำตาไหล เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองที่คอบวม ข้อต่ออักเสบ รู้สึกปวดข้อเมื่อเคลื่อนไหวหรือขณะทำกิจกรรม อาการคันที่ทวารหนักและอาจมีหนองหรือเลือดไหลออกมา

    หนองในหายเองได้ไหม 

    บางคนอาจมีอาการหนองในเพียงเล็กน้อยหรืออาจไม่มีเลย จึงอาจทำให้คิดว่าหนองในนั้นหายเองได้ แต่จริง ๆ แล้วหนองในไม่สามารถหายได้เอง แต่จำเป็นต้องเข้ารับการวินิจฉัยและรักษา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำการดูแลตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นหนองในซ้ำบ่อยครั้ง

    วิธีการรักษาหนองใน มีดังนี้

    • ยาอะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) เป็นยาปฏิชีวนะในรูปแบบรับประทานที่ใช้เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองใน โดยควรรับประทานก่อนหรือหลังอาหาร ปริมาณ 2 กรัม 1 ครั้งไม่ควรหยุดยาหรือลดขนาดยาเองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคุณหมอ เพราะอาจทำให้ร่างกายดื้อยา อีกทั้งควรแจ้งให้คุณหมอทราบหากสังเกตว่ามีอาการผิดปกติหลังใช้ยา เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง ลมพิษ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หายใจลำบาก
    • ยาเซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone) คือยาปฏิชีวนะที่ใช้สำหรับรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียในรูปแบบฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อ 500 มิลลิกรัม ผลข้างเคียงของยานี้ คือ อาจทำให้ผิวบวมแดงในบริเวณที่ฉีดยา ท้องร่วง หายใจลำบาก ควรแจ้งให้คุณหมอทราบหากพบว่ามีอาการรุนแรงหลังใช้ยา เช่น หัวใจเต้นเร็ว ใบหน้าบวม ลิ้นบวม เหนื่อยล้า ปวดท้อง เจ็บหน้าอก ท้องอืด ผิวหนังลอก แผลพุพอง ปัสสาวะเปลี่ยนเป็นสีชมพู สีน้ำตาล หรือสีแดงและมีกลิ่นเหม็น
    • ยาเจนตามัยซิน (Gentamicin) คือยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียในรูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือกล้ามเนื้อ ยานี้อาจส่งผลข้างเคียงหลังฉีด เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดข้อ เหนื่อยง่าย และควรแจ้งให้คุณหมอทราบหากสังเกตว่ามีอาการรุนแรงหลังใช้ยา เช่น ลมพิษ หายใจลำบาก อาการบวมบริเวณใบหน้า ลิ้น ลำคอ หรือริมฝีปาก

    การป้องกันหนองใน

    การป้องกันหนองใน อาจทำได้ดังนี้

    • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
    • ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองใน
    • สอบถามประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของคู่นอนก่อนเสมอ
    • ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์หากมีอาการผิดปกติ เช่น แสบร้อนอวัยวะเพศขณะขับถ่ายหรือระหว่างมีเพศสัมพันธ์ มีผื่นขึ้นบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก
    • ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์หากมีแผลเปิดบริเวณอวัยวะเพศ เพราะอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ส่งผลให้เกิดโรคหนองในหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
    • ไม่ควรใช้เซ็กส์ทอยร่วมกันและควรทำความสะอาดเซ็กส์ทอยทุกครั้งหลังการใช้งาน
    • ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงนันทิวดี มาเมือง

    สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


    เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 27/02/2024

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา