หนองในสามารถแพร่กระจายและส่งผลกระทบต่ออวัยวะส่วนอื่นในร่างกาย จึงอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตาไวต่อแสง ปวดตา น้ำตาไหล เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองที่คอบวม ข้อต่ออักเสบ รู้สึกปวดข้อเมื่อเคลื่อนไหวหรือขณะทำกิจกรรม อาการคันที่ทวารหนักและอาจมีหนองหรือเลือดไหลออกมา
หนองในหายเองได้ไหม
บางคนอาจมีอาการหนองในเพียงเล็กน้อยหรืออาจไม่มีเลย จึงอาจทำให้คิดว่าหนองในนั้นหายเองได้ แต่จริง ๆ แล้วหนองในไม่สามารถหายได้เอง แต่จำเป็นต้องเข้ารับการวินิจฉัยและรักษา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำการดูแลตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นหนองในซ้ำบ่อยครั้ง
วิธีการรักษาหนองใน มีดังนี้
- ยาอะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) เป็นยาปฏิชีวนะในรูปแบบรับประทานที่ใช้เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองใน โดยควรรับประทานก่อนหรือหลังอาหาร ปริมาณ 2 กรัม 1 ครั้งไม่ควรหยุดยาหรือลดขนาดยาเองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคุณหมอ เพราะอาจทำให้ร่างกายดื้อยา อีกทั้งควรแจ้งให้คุณหมอทราบหากสังเกตว่ามีอาการผิดปกติหลังใช้ยา เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง ลมพิษ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หายใจลำบาก
- ยาเซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone) คือยาปฏิชีวนะที่ใช้สำหรับรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียในรูปแบบฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อ 500 มิลลิกรัม ผลข้างเคียงของยานี้ คือ อาจทำให้ผิวบวมแดงในบริเวณที่ฉีดยา ท้องร่วง หายใจลำบาก ควรแจ้งให้คุณหมอทราบหากพบว่ามีอาการรุนแรงหลังใช้ยา เช่น หัวใจเต้นเร็ว ใบหน้าบวม ลิ้นบวม เหนื่อยล้า ปวดท้อง เจ็บหน้าอก ท้องอืด ผิวหนังลอก แผลพุพอง ปัสสาวะเปลี่ยนเป็นสีชมพู สีน้ำตาล หรือสีแดงและมีกลิ่นเหม็น
- ยาเจนตามัยซิน (Gentamicin) คือยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียในรูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือกล้ามเนื้อ ยานี้อาจส่งผลข้างเคียงหลังฉีด เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดข้อ เหนื่อยง่าย และควรแจ้งให้คุณหมอทราบหากสังเกตว่ามีอาการรุนแรงหลังใช้ยา เช่น ลมพิษ หายใจลำบาก อาการบวมบริเวณใบหน้า ลิ้น ลำคอ หรือริมฝีปาก
การป้องกันหนองใน
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย