backup og meta

Ceramide คืออะไร ประโยชน์และข้อควรระวังการใช้

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงเกศอร ป้องอาณา · โรคผิวหนัง · โรงพยาบาลสุขุมวิท


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 06/03/2023

    Ceramide คืออะไร ประโยชน์และข้อควรระวังการใช้

    Ceramide (เซราไมด์) คือ ส่วนประกอบที่ผสมอยู่ในสกินแคร์บำรุงผิวหน้า รวมถึงโลชั่น ครีม แชมพู  ที่อาจช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นบนผิวและหนังศีรษะ เพื่อป้องกันผิวแห้งและฟื้นฟูเส้นผมแห้งเสีย ถึงแม้ว่าเซราไมด์จะมีประโยชน์แต่ขณะเดียวกันก็อาจส่งผลเสียได้หากใช้ไม่ถูกวิธีเทำให้เกิดอาการแพ้และระคายเคือง ดังนั้นจึงควรศึกษาประโยชน์และข้อควรระวังก่อนใช้ 

    Ceramide คืออะไร

    Ceramide (เซราไมด์) คือ กลุ่มกรดไขมันที่พบได้ในเซลล์ผิวหนังชั้นกำพร้า มีบทบาทสำคัญที่เป็นเกราะป้องกันผิวช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เสริมพัฒนาการสมอง ควบคุมการทำงานของเซลล์ให้เป็นไปตามปกติ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นป้องกันไม่ให้ผิวแห้งกร้าน ฟื้นฟูผมแห้งเสียลดผมร่วง นอกจากนี้ ปัจจุบันมีเซราไมด์ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นและถูกผสมเข้าไปในครีม โลชั่น สกินแคร์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว รวมถึงแชมพูสระผม และแบ่งออกเป็น 12 ชนิดด้วยกัน โดยส่วนใหญ่เซราไมด์ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์นั้น มีดังนี้

  • เซราไมด์ 1 หรือที่เรียกว่าเซราไมด์ EOS
  • เซราไมด์ 2 หรือที่เรียกว่าเซราไมด์ NS หรือ NG
  • เซราไมด์ 3 หรือที่เรียกว่าเซราไมด์ NP
  • เซราไมด์  6-II  หรือที่เรียกว่าเซราไมด์ AP
  • เซราไมด์ 9 หรือที่เรียกว่าเซราไมด์ EOP
  • ประโยชน์ของ Ceramide คืออะไร

    เซราไมด์ มีประโยชน์ต่อสุขภาพผิวที่อาจช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ลดการระคายเคืองผิวจากผิวแห้งกร้าน ปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายของเชื้อโรค มลภาวะ เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้ติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราที่ผิวหนัง อีกทั้งยังช่วยลดริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้ เซราไมด์ในแชทพูสระผมอาจช่วยฟื้นฟูผมแห้งเสีย เพิ่มความแข็งแรงให้เส้นผมและหนังศีรษะ ป้องกันภาวะผมร่วงได้

    จากการศึกษาหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology เมื่อปี พ.ศ.2561 ที่ศึกษาเกี่ยวกับการใช้ครีมที่มีเซราไมด์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว โดยทดลองเปรียบเทียบกับมอยส์เจอร์ไรเซอร์ พบว่า หลังจากทาครีมที่มีเซราไมด์และมอยส์เจอร์ไรเซอร์ 24 ชั่วโมง และได้ทำการวัดความชุ่มชื้นในผิว ซึ่งผิวที่ใช้เซราไมด์มีความชุ่มชื้นมากกว่า

    ข้อควรระวังการใช้ Ceramide 

    เซราไมด์อาจส่งผลให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคือง ผิวบวมแดง ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์ควรบีบเท่าเม็ดถั่วเขียวและลองทาบริเวณด้านในแขนทิ้งไว้ติดต่อกัน 7 วัน เพื่อทดสอบอาการแพ้

    นอกจากนี้ ควรเลือกเซราไมด์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว เพราะเซราไมด์แบ่งออกอีกเป็น 12 ชนิด สำหรับการใช้เซราไมด์บำรุงผิวอาจเลือกเซราไมด์ชนิดที่ 1 3 6-II และไฟโตสฟิงโกซีน (Phytosphingosine)

    วิธีการดูแลผิวให้สุขภาพดี

     นอกจากการใช้ครีม โลชั่น สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ เพื่อช่วยบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื่นแล้ว ยังควรศึกษาวิธีดูแลผิวในรูปแบบอื่น ๆ ร่วมด้วย ที่อาจทำได้ดังนี้

    • ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ป้องกันผิวขาดน้ำ
    • อาบน้ำ ล้างหน้า อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอม เพื่อทำความสะอาดผิวจากสิ่งสกปรก เช่น เครื่องสำอาง เหงื่อ ฝุ่น 
    • ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไป เพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตที่อาจทำร้ายผิว ทำให้ผิวไหม้แดด หมองคล้ำ ผิวขาดความชุ่มชื้น อีกทั้งควรสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกาย เช่น หมวกปีกหว้าง แว่นกันแดด เสื้อเชิ้ตแขนยาว เสื้อแจ๊คเก็ทคลุม กางเกงขายาว 
    • หลีกเลี่ยงการขัดผิวรุนแรง เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและบาดเจ็บ
    • ควรทำความสะอาดสิ่งที่สัมผัสกับใบหน้าเป็นประจำ เช่น โทรศัพท์มือถือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าห่ม ปลอกหมอน รวมถึงไม่นำมือสัมผัสใบหน้า เพราะอาจทำให้สิ่งสกปรกและแบคทีเรียที่อยู่บนมือเข้าไปอุดตันในรูขุมขน
    • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี เพราะอาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่อาจช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ฟื้นฟูเซลล์ที่ได้รับความเสียหาย
    • เลิกสูบบุหรี่ เพราะสารพิษในบุหรี่อาจทำลายคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนในผิวหนังที่มีบทบาทสำคัญช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว และลดปัญหาการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
    • สำหรับผู้ที่เป็นสิวควรรักษาด้วยยาทาเฉพาะที่ในรูปแบบเจลหรือครีม เช่น อะดาพาลีน (Adapalene) ทาซาโรทีน (Tazarotene) เตรทติโนอิน (Tretinoin) เบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือควรกดสิวออกที่ควรทำโดยคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญที่มีใบรับรอง
    • สำหรับผู้ที่รักษารอยดำจากสิวควรใช้ยาหรือครีมที่มีส่วนประกอบของกรดไฮดรอกซี (Hydroxyl Acids) และกรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) หรือรักษาด้วยการเลเซอร์

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงเกศอร ป้องอาณา

    โรคผิวหนัง · โรงพยาบาลสุขุมวิท


    เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 06/03/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา