backup og meta

ภาวะ แทรกซ้อน เบาหวาน มีอะไรบ้าง และวิธีป้องกัน

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงบุรัสกร ทวีบูรณ์ · โรคเบาหวาน · SRK BMI Center


เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 30/04/2023

    ภาวะ แทรกซ้อน เบาหวาน มีอะไรบ้าง และวิธีป้องกัน

    ภาวะ แทรกซ้อน เบาหวาน มีทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง อาจเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยเบาหวานขาดการดูแลตัวเอง ไม่สามารถควบคุมโรคเบาหวานให้ดี โดยเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน จะทำให้ระบบอื่น ๆ ในร่างกายเกิดความผิดปกติไปด้วย ซึ่งเป็นภาวะเเทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น  โรคหลอดหัวใจและสมอง โรคไต เบาหวานขึ้นตา ปลายมือและเท้าชา รวมถึงเเผลเรื้อรัง

    ภาวะ แทรกซ้อน เบาหวาน มีอะไรบ้าง

    ภาวะแทรกซ้อนเบาหวานที่เกิดขึ้นทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย ดังนี้

    ภาวะ แทรกซ้อน เบาหวาน แบบเฉียบพลัน

    เป็นภาวะเเทรกซ้อนที่พบได้ในผู้ที่เป็นเบาหวานเเม้จะได้รับการวินิจฉัยมาไม่นาน ซึ่งขึ้นอยู่กับการดูเเลสุขภาพของเเต่ละบุคคล

  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

  • เป็นภาวะที่เกิดขึ้นหากผู้ที่เป็นเบาหวานมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากการที่ร่างกายได้รับยาลดระดับน้ำตาล หรือยาฉีดอินซูลินมากเกินไป ออกกำลังกายหักโหม หรือรับประทานอาหารผิดเวลา หรือน้อยลงมากกว่าปกติ จัดเป็นภาวะที่อันตราย ซึ่งอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการสับสน เวียนศีรษะ หิวหรือโหยมาก อารมณ์แปรปรวน ใจสั่น ตัวเย็น เหงื่อออกมาก หรืออาจหมดสติหรือชักได้

    เป็นภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานสูงมากกว่า 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ซึ่งอาจเกิดจากความเครียดของทั้งร่างกายเเละจิตใจ การรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป รับประทานยาหรือฉีดอินซูลินไม่สม่ำเสมอ ส่งผลทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ น้ำหนักลดและอ่อนเพลีย ในบางรายอาจรุนเเรงจนเกิดภาวะเลือดเป็นกรด เเละภาวะเลือดข้นจากน้ำตาลสูงได้ 

    ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังของโรคเบาหวาน

    ภาวะแทรกซ้อนเบาหวานแบบเรื้อรัง มักเกิดขึ้นในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ได้ตามเกณฑ์มาเป็นระยะเวลานาน ส่วนมากประมาณ 5 ปีขึ้นไป เเต่ในผู้ที่ละเลยการดูแลตัวเองและไม่ค่อยตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ทำให้กว่าจะวินิจัยว่าเป็นโรคเบาหวานก็มีอาการลุกลามและส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายไปเเล้ว โดยภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังของโรคเบาหวานแบบเรื้อรัง มีดังนี้

    • โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมองตับ อัมพฤกษ์ อัมพาต เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงที่เป็นเวลานานจะทำให้ผนังหลอดเลือดแดงเสื่อมสภาพและเกิดความผิดปกติ เช่น หลอดเลือดอักเสบ หลอดเลือดสูญเสียความยืดหยุ่น หลอดเลือดตีบหรืออุดตัน ส่งผลทำให้เกิดโรคที่กล่าวไปข้างต้นได้
    • โรคไต น้ำตาลในเลือดที่สูงเรื้อรังจะทำลายเส้นเลือดขนาดเล็กที่มีหน้าที่กรองของเสียที่ไตจนอาจนำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรังซี่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เเละ หากไม่ควบคุมให้ดี อาจจะเป็นต้องล้างไต
    • เส้นประสาทเสื่อมจากเบาหวาน ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่สูงจะทำลายผนังหลอดเลือดของเส้นเลือดฝอย ที่หล่อเลี้ยงเส้นประสาทโดยเฉพาะบริเวณส่วนปลาย เช่น มือและขา ทำให้มีการรับความรู้สึกบริเวณนั้น ๆ ผิดปกติไป เช่น รู้สึกเสียวซ่า ชา แสบร้อนหรือปวดบริเวณปลายมือหรือปลายเท้า 
    • ปัญหาจอประสาทตา น้ำตาลในเลือดสูงไปทำลายหลอดเลือดบริเวณจอประสาทตา ส่งผลทำให้การมองเห็นบกพร่อง เเละอาจทำให้เกิดโรคทางตาอื่นๆ เช่นต้อกระจก ต้อหิน หรือรุนแรงถึงขั้นตาบอดได้
    • สุขภาพเท้า โรคเบาหวานที่ควบคุมได้ไม่ดีจะส่งผลทำให้ทั้งเส้นเลือดเเละเส้นประสาทส่วนปลายเสือม ทำให้นอกจากจะมีอาการเท้าชา รับความรู้สึกลดลง เสี่ยงต่อการเกิดแผลเเล้ว ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายอีกด้วย เเละ หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจเป็นเเผลเรื้อรัง เเละ อาจต้องตัดเท้าในบางราย
    • สุขภาพผิว อาจมีอาการผิวเเห้ง คัน ทำให้ระคายเคืองได้ง่าย และเสี่ยงต่อการติดเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังได้ง่ายขึ้น
    • ภาวะซึมเศร้า เนื่องจากโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีความกังวล จนเกิดเป็นภาวะซึมเศร้าในที่สุด ในบางภาวะซึมเศร้านี้ ทำให้ผู้ป่วยอาจไม่สนใจดูเเลสุขภาพตนเอง จึงทำให้โรคเบาหวานทรุดลงได้มากขึ้นด้วย

    ภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานขณะตั้งครรภ์

    ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในคุณแม่ที่ภาวะเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ เเล้วไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งมีทั้งผลกระทบกับสุขภาพของตัวคุณเเม่เอง เเละ ผลต่อทารกในครรภ์ ยกตัวอย่างเช่น

    • ภาวะครรภ์เป็นพิษ เป็นภาวะที่ระหว่างตั้งครรภ์เเล้ว คุณเเม่มีความดันโลหิตที่สูงมากเกินไปจนส่งผลให้ มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ ขาและเท้าบวม ซึ่งหากควบคุมไม่ได้ อาจรุนแรงถึงขึ้นอาจชัก เกร็ง หมดสติหรืออาจทำให้เสียชีวิตได้
    • เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 หลังคลอดในคุณเเม่ โดยส่วนมากเเล้ว ภาวะเบาหวานจะหายไปได้เองหลังคลอด เนืองจากฮอร์โมนกลับสู่สมดุลปกติ เเต่อย่างไรก็ตาม พบว่าผู้ที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงของการเป็นเบาหวานในอนาคตสูงกว่าผู้ที่มีอายุเท่ากัน
    • ทารกตัวใหญ่ อาหารที่คุณแม่รับประทานสามารถส่งไปยังทารกในครรภ์ได้ผ่านทางรก ซึ่งเมื่อมีน้ำตาลในเลือดที่มากเกินจะกระตุ้นให้ตับอ่อนของทารกผลิตอินซูลินเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้ทารกมีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นจนอาจไม่สามารถคลอดด้วยวิธีธรรมชาติได้ และจำเป็นต้องผ่าคลอด
    • ทารกมีน้ำตาลในเลือดต่ำหลังคลอด เนื่องจากเมื่อคุณเเม่มีน้ำตาลในเลือดสูง ระหว่างอยู่ในครรภ์มารดา ทารกจะได้รับน้ำตาลที่สูงจากคุณเเม่ผ่านทางสายสะดือตามไปด้วย ทำให้งทารกต้องผลิตฮอร์โมนอินซูลินออกมาในปริมาณสูงขึ้นเพื่อจัดการกับน้ำตาลเเต่เมื่อทารกคลอด คุณหมอจะตัดสายสะดือออก ทารกจึงม่ได้รับน้ำตาลเพิ่มอีก แต่ร่างกายยังคงมีอินซูลินจำนวนมากอยู่ จึงส่งผลให้เกิดน้ำตาลในเลือดต่ำและเป็นอันตรายเนื่องจากอาจทำให้ทารกซึม หรือชักได้
    • ภาวะน้ำหนักเกินและโรคเบาหวานชนิดที่ 2ในลูกน้อย จากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่าทารกที่มีคุณแม่ที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เมื่อเติบโตขึ้นอาจมีความเสี่ยงของภาวะน้ำหนักเกิน เเละ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่าเด็กทั่วไป
    • แท้งบุตร/ทารกเสียชีวิต คุณแม่ที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์และไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเเท้งบุตร รวมถึงชทารกเสียชีวิตในครรภ์ได้

    วิธีป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน

    การป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากโรคเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานควรดูแลสุขภาพ ซึ่งอาจทำได้ ดังนี้

    • รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ผู้ป่วยเบาหวานควรดูแลเรื่องการรับประทานอาหารอย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดไม่ให้สูงหรือต่ำเกินไป โดยควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง และเน้นเลือกอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี รวมถึงเลือกรับประทานโปรตีนที่ดี เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมันและหนัง หรือโปรตีนจากพืช เช่น ถั่ว เต้าหู้ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน
    • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยควรออกกำลังกายที่มีความเหนื่อยระดับปานกลาง เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ เต้นแอโรบิก ประมาณ 30 นาที/วัน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน หรือ 150 นาที/สัปดาห์ เพื่อช่วยกระตุ้นการเผาผลาญน้ำตาลส่วนเกินของร่างกาย รวมถึงช่วยเพิ่มความแข็งแรงและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยเบาหวานที่มีน้ำหนักตัวมากหรือมีปัญหาสุขภาพอื่นร่วมด้วย ควรปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดได้
    • ไปพบคุณหมอตามนัดและรับประทานยาสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมโรคเบาหวานให้ดี มิให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงบุรัสกร ทวีบูรณ์

    โรคเบาหวาน · SRK BMI Center


    เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 30/04/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา