คุณแม่บางคนอาจป้อนนมขวดให้ลูก เนื่องจากอยากหาเวลาว่างให้ตัวเองบ้างในตอนบ่ายหรือตอนเย็น เหตุผลก็อาจเป็นเพราะว่ามีงานต้องทำ หรือลูกน้อยทำน้ำหนักได้ช้าถ้าดื่มแต่นมแม่
ไม่ว่าคุณวางแผนจะป้อนนมขวดให้ลูกเป็นประจำหรือไม่ก็ตาม คุณควรบีบนมใส่ขวดแช่ตู้เย็นเอาไว้ซักประมาณหกขวด วิธีนี้จะช่วยให้คุณมีน้ำนมให้ลูกกินในเวลาที่ป่วย เวลาที่ต้องรับประทานยาที่ส่งผลต่อน้ำนม หรืออาจมีงานด่วนที่ต้องจากบ้านไปสองสามวัน ไม่ต้องเป็นกังวลถ้าลูกน้อยไม่เคยดูดนมจากขวดมาก่อน รสชาติที่ใกล้เคียงกันจะช่วยให้ลูกน้อยดูดนมจากขวดได้ง่ายขึ้น
เด็กบ้างคนอาจไม่ยอมรับความยุ่งยากในการเปลี่ยนจากการดูดนมมารดามาเป็นดูดจากขวด แต่เด็กส่วนใหญ่จะปรับตัวได้ถ้าคุณเพิ่มเวลาการให้นมจากอกต่อไปอีกสามสัปดาห์ ซึ่งควรเป็นในช่วงสัปดาห์แรก การให้ดูดนมจากขวดเร็วเกินไป ก็อาจทำให้เด็กไม่รู้สึกชินกับการดูดจากอกจริงๆ เพราะเด็กอาจเกิดความสับสนได้
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ…การให้นมจากอกมารดาและการให้นมจากขวดนั้นต้องใช้เทคนิคที่ไม่เหมือนกัน แต่ถ้าลูกน้อยได้รับนมจากขวดหลังจากผ่านช่วงเวลานี้ไปแล้ว เด็กหลายๆ คนก็จะไม่ยอมดูดนมจากขวด เนื่องจากเคยชินกับการดูดนมจากอกมารดา
การให้นมจากอกมารดานั้น มีความสะดวกสบายในระดับหนึ่ง เนื่องจากคุณสามารถให้นมในเวลาที่เด็กต้องการได้ โดยไม่ต้องคิดเรื่องปริมาณน้ำนมที่เด็กดื่ม ฉะนั้นทันทีที่คุณเริ่มให้ลูกดูดนมจากขวด สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกก็คือ การคำนวณปริมาณน้ำนมที่ลูกน้อยต้องการ ซึ่งคุณควรปรึกษาคุณหมอหรือนักโภชนาการ เพราะเด็กแต่ละคนในกลุ่มวัยแต่ละกลุ่ม ก็จะมีความต้องการสารอาหารไม่เท่ากัน
ถ้าการงานทำให้คุณไม่สามารถป้อนนมจากอกให้ลูกได้ถึงสองครั้ง ก็ควรเปลี่ยนไปป้อนนมจากขวดแทน คุณควรเริ่มป้อนนมขวดก่อนกลับไปทำงานอย่างน้อยสองสัปดาห์ โดยให้เวลาลูกน้อยทำความคุ้นเคยซักประมาณหนึ่งสัปดาห์ โดยป้อนนมขวดวันละหนึ่งขวด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสองขวดต่อวัน วิธีนี้จะช่วยให้ทั้งลูกน้อยและร่างกายปรับตัวได้ ถ้าคุณให้ลูกน้อยกินนมขวด น้ำนมตามธรรมชาติจะลดลงไปเอง ซึ่งนั่นจะช่วยให้คุณกลับไปทำงานได้อย่างสบายตัวขึ้น
ถ้าคุณตั้งใจที่จะป้อนนมขวดให้ลูกน้อยเป็นครั้งคราว การบีบนวดนมทั้งสองข้างก่อนปล่อยให้น้ำนมไหลออกมา ช่วยลดปัญหาน้ำนมคั่งค้างและน้ำนมรั่วไหลให้คุณได้ คุณต้องแน่ใจว่าลูกน้อยจะไม่ได้ดื่มนมในช่วงเวลาที่คุณใกล้กลับบ้าน เพราะตอนนั้นคุณสามารถป้อนนมจากอกได้ ถ้ามีน้ำนมมากพอ
ถ้าลูกน้อยไม่ยอมยิ้มให้คุณก็ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะแม้แต่เด็กที่มีความสุขที่สุดก็จะไม่ยอมหัวเราะ จนกว่าจะอายุได้หกถึงเจ็ดสัปดาห์ และเมื่อเริ่มยิ้มขึ้นมาเมื่อไร ก็จะเสียงหัวเราะของลูกน้อยตามมาเป็นครั้งคราวด้วย
คุณสามารถแยกแยะรอยยิ้มจริงกับรอยยิ้มเรื่อยเปื่อยของเขาได้ โดยการสังเกตลักษณะการใช้กล้ามเนื้อทั้งใบหน้าในการยิ้ม ไม่ใช่แค่ใช้ปากอย่างเดียว ถึงแม้เขาจะหัวเราะได้ช้า แต่ถ้าคุณพูดกับเขา เล่นกับเขา และกอดเขาให้มากกว่าเดิม ก็น่าจะช่วยให้เขาหัวเราะได้เร็วขึ้นได้
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย