backup og meta

ขาหนีบดำ วิธีแก้และวิธีป้องกัน

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย Duangkamon Junnet


เขียนโดย ทีม Hello คุณหมอ · แก้ไขล่าสุด 28/07/2023

    ขาหนีบดำ วิธีแก้และวิธีป้องกัน

    ขาหนีบดำ คือ ภาวะที่ผิวหนังบริเวณขาหนีบมีสีเข้มหรือคล้ำกว่าสีผิวบริเวณอื่น อาจเกิดจากผิวหนังบริเวณขาหนีบเสียดสีกันเป็นประจำเนื่องจากการออกกำลังกายหรือการเดิน ความผิดปกติของฮอร์โมนโดยเฉพาะในช่วงมีประจำเดือน ช่วงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาปรับฮอร์โมน ยาเคมีบำบัด แสงแดด ผิวแห้งมาก เสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไป โรคผิวหนังช้าง (Acanthosis Nigricans) โรคเบาหวาน โรคอ้วน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม วิธีแก้ขาหนีบดำและป้องกันขาหนีบดำอย่างถูกต้อง อาจช่วยให้รับมือกับภาวะนี้ได้ดีขึ้น

    วิธีแก้ขาหนีบดำ

    วิธีแก้ขาหนีบดำด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน

    1. เบกกิ้งโซดา (Baking Soda)

    เบกกิ้งโซดา อาจช่วยขจัดเซลล์ผิวที่แห้งและเป็นขุยออกไปได้อย่างอ่อนโยน และช่วยปรับค่า pH ของผิวให้สมดุลขึ้น การใช้เบกกิ้งโซดาในการแก้ไขปัญหา ขาหนีบดำ อาจทำได้ดังนี้

    อุปกรณ์

    • เบกกิ้งโซดา 1-2 ถ้วย
    • น้ำเปล่า

    วิธีทำ

    1. เทเบกกิ้งโซดาลงในน้ำเปล่า คนให้ละลาย
    2. ใช้ขนหนูชุบน้ำเบกกิ้งโซดาแล้วประคบที่ขาหนีบไว้ประมาณ 10-15 นาที
    3. เช็ดผิวให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิว

    สามารถใช้วิธีนี้ได้ทุกวัน แต่หากทำแล้วผิวหนังผิดปกติ หรือมีอาการระคายเคือง ควรหยุดใช้ทันที

    2. น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล (Apple Cider Vinegar)

    น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ทั้งยังอาจช่วยลดปัญหาผิวที่เกิดจากภาวะออกซิเดชัน การใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลในการช่วยแก้ขาหนีบดำ อาจทำได้ดังนี้

    อุปกรณ์

    • น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล 2 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะ
    • สำลีก้อน

    วิธีทำ

    1. ผสมน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลกับน้ำเปล่า คนให้เข้ากัน
    2. จุ่มสำลีก้อนลงไปให้ชุ่ม แล้วทาบริเวณขาหนีบที่มีรอยดำคล้ำ
    3. ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที
    4. ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

    3. ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera)

    สารสกัดจากว่านหางจระเข้ อาจช่วยให้สีผิวที่เข้มคล้ำบริเวณขาหนีบจางลงได้

    อุปกรณ์

    • ใบว่านหางจระเข้ ปริมาณตามต้องการ
    • เจล ปริมาณตามต้องการ

    วิธีทำ

    1. นำใบว่านหางจระเข้มาปอกเปลือก แล้วขูดเอาเฉพาะเนื้อด้านใน
    2. ผสมเนื้อว่านหางจระเข้ลงในเจลที่เตรียมไว้
    3. นำส่วนผสมที่ได้มาทางบริเวณขาหนีบที่มีรอยดำคล้ำ
    4. ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออก

    สามารถลดเลือดรอยดำที่ขาหนีบด้วยเจลผสมว่านหางจระเข้ได้ทุกวัน หากผสมเจลกับว่านหางจระเข้ไว้ในปริมาณมาก สามารถแช่เจลที่เหลือเอาไว้ในตู้เย็น เพื่อเก็บไว้ใช้ในครั้งถัดไปได้

    4. น้ำมะนาว

    น้ำมะนาวอุดมไปด้วยวิตามินซี ที่มีคุณสมบัติที่ช่วยลดการสังเคราะห์เมลานินในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ วิธีแก้ขาหนีบดำด้วยน้ำมะนาว สามารถทำได้ดังนี้

    อุปกรณ์

    • น้ำมะนาวครึ่งลูก
    • สำลีแผ่น

    วิธีทำ

    1. จุ่มสำลีแผ่นลงในน้ำมะนาวที่เตรียมไว้ แล้วทาบริเวณขาหนีบที่ดำคล้ำ หากผิวบอบบาง แพ้ง่าย หรือกังวลว่าผิวจะระคายเคือง ให้เจือจางน้ำมะนาวด้วยน้ำเปล่าในปริมาณที่เท่ากัน
    2. ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

    5. น้ำมันมะพร้าว

    น้ำมันมะพร้าว มีคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้น ช่วยไม่ให้ผิวแห้ง และลดการเสียดสีที่อาจจะเป็นสาเหตุทำให้ขาหนีบดำ การบรรเทาอาการขาหนีบดำด้วยน้ำมันมะพร้าว อาจทำได้ดังนี้

    อุปกรณ์

    • น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ 1 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ

    1. ทาน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บริเวณขาหนีบ
    2. ทิ้งไว้จนกว่าจะแห้ง

    สามารถรักษาขาหนีบดำด้วยวิธีนี้ได้วันละ 1-2 ครั้ง

    6. ขมิ้น (Turmeric)

    ขมิ้นมีสารประกอบที่เรียกว่า เคอร์คูมิน (Curcumin) ซึ่งอาจช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีและทำให้ขาหนีบมีสีจางลงได้ การแก้ขาหนีบดำด้วยขมิ้น สามารถทำได้ดังนี้

    อุปกรณ์

  • ผงขมิ้น 1 ช้อนชา
  • น้ำเปล่าเล็กน้อย
  • วิธีทำ

    1. ผสมผงขมิ้นกับน้ำ 1-2 หยด แล้วคนให้เข้ากัน
    2. ทาขมิ้นผสมน้ำที่ได้บริเวณขาหนีบที่ดำคล้ำ
    3. ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที
    4. ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

    7. แตงกวา (Cucumber)

    ขาหนีบดำคล้ำ อาจเป็นผลมาจากต้นขาด้านในเสียดสีกันมากเกินไป หรือผิวแห้งมาก แตงกวาอาจช่วยบำรุงผิว ช่วยลดการระคายเคืองและอาการบวมที่ผิวหนัง จึงอาจช่วยให้ขาหนีบที่ดำคล้ำดีขึ้นได้ สามารถใช้แตงกว่ารักษาขาหนีบดำได้ด้งนี้

    อุปกรณ์

    • แตงกวาครึ่งลูก
    • เครื่องปั่น

    วิธีใช้

    • ปั่นแตงกวาครึ่งลูกให้ละเอียด จากนั้นนำมาทาบริเวณขาหนีบที่มีรอยดำคล้ำ
    • ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

    สามารถใช้วิธีนี้ได้ทุกวัน วันละ 1 ครั้ง

    วิธีแก้ขาหนีบดำด้วยผลิตภัณฑ์ที่ขายตามร้านค้า หรือร้านขายยา

    จากข้อมูลของสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งสหรัฐอเมริกา (American Academy of Dermatology หรือ ADD) ชี้ให้เห็นว่า ส่วนผสม 4 ชนิดดังต่อไปนี้ อาจช่วยทำให้ผิวขาวขึ้นโดยไม่เสี่ยงต่อการแพ้

    • ถั่วเหลือง
    • วิตามินบี 3 หรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide)
    • กรดเอลลาจิก (Ellagic Acid)
    • ลิกนิน เปอร์ออกซิเดส (Lignin Peroxidase)

    นอกจากนี้ ส่วนผสมดังต่อไปนี้ก็อาจช่วยทำให้ผิวขาวขึ้นได้เช่นกัน

    • อาร์บูติน (Arbutin)
    • กรดโคจิก (Kojic Acid)
    • ชะเอมเทศ (Licorice)

    ดังนั้น การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมดังกล่าว อาจช่วยลดความคล้ำเข้มของผิวหนังบริเวณขาหนีบได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย ควรปรึกษาเภสัชกรหรือคุณหมอก่อน เพื่อจะได้ประเมินสาเหตุที่ทำให้ขาหนีบดำ และสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม

    โดยทั่วไปแล้ว คุณหมอผิวหนังมักแนะนำให้บรรเทาอาการขาหนีบดำด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมดังต่อไปนี้

    • เรตินอยด์ (Retinoids) ครีมที่มีเรตินอยด์ ซึ่งเป็นกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอเป็นส่วนผสมอาจช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนัง และช่วยรักษารอยดำบนผิวหนังได้ แต่อาจต้องใช้เรตินอยด์เป็นเวลาหลายเดือนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ และอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ทำให้ผิวแห้งขึ้น ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น

    วิธีแก้ขาหนีบดำด้วยเลเซอร์

    การปรับสภาพผิวด้วยเลเซอร์ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากสามารถลดการเกิดเซลล์เม็ดสีได้โดยไม่ก่อให้เกิดแผลเป็น ซึ่งคุณผิวหนังสามารถให้คำปรึกษาได้ว่าภาวะขาหนีบดำที่เป็นอยู่สามารถรักษาด้วยเลเซอร์ได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจทำให้รู้สึกระคายเคืองบริเวณขาหนีบอยู่ช่วงหนึ่ง หากขาหนีบต้องเสียดสีกันบ่อย ๆ

    วิธีป้องกันไม่ให้ขาหนีบดำ

    วิธีเหล่านี้อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะขาหนีบดำได้

    • ป้องกันการเสียดสีด้วยการสวมกางเกงซับในหรือถุงน่องเอาไว้ข้างในกระโปรงหรือชุดที่สวมใส่
    • รักษาบริเวณต้นขาด้านในให้สะอาด และสครับผิวอย่างเบามือเพื่อขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วซึ่งอาจสะสมอยู่บนผิวหนัง
    • สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และไม่รัดแน่นเกินไป เพื่อป้องกันเหงื่อและแรงเสียดสี
    • หลีกเลี่ยงการโกนหรือแว็กซ์ขนบ่อย ๆ เพื่อป้องกันการระคายเคือง
    • ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน หากต้องเผชิญแสงแดด ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง และพยายามอย่าให้ผิวเผชิญแสงแดดโดยตรง

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    Duangkamon Junnet


    เขียนโดย ทีม Hello คุณหมอ · แก้ไขล่าสุด 28/07/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา