ฉีดยาคุม เป็นวิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัย การฉีดยาคุมกำเนิด 1 ครั้งอาจช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 3 เดือน ช่วงหลังคลอดหรือให้นมบุตรก็สามารถเข้ารับการฉีดยาคุมกำเนิดได้ การฉีดยาคุมกำเนิดแต่ละครั้งใช้เวลาไม่นาน มีราคาย่อมเยา และอาจสะดวกกว่าการกินยาเม็ดคุมกำเนิดสำหรับบางคน เนื่องจากแก้ไขปัญหาการลืมรับประทานยา อย่างไรก็ตาม การศึกษาประโยชน์และผลข้างเคียงของการฉีดยาคุมกำเนิด อาจช่วยให้ทราบว่าการคุมกำเนิดวิธีนี้เหมาะกับตนเองหรือไม่ และอาจทำให้สามารถคุมกำเนิดด้วยการฉีดยาคุมได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยยิ่งขึ้น
[embed-health-tool-ovulation]
การทำงานของยาคุมกำเนิดแบบฉีด
ยาคุมกำเนิดแบบฉีดชนิดที่นิยมใช้ในประเทศไทย ได้แก่ ยาคุมกำเนิดแบบฉีดชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียว (Progestin-only Injectable Contraceptives) หรือที่เรียกว่า ยาฉีดเมดร็อกซีโพรเจสเทอโรนแอซีเทต (Medroxyprogesterone Acetate) ยาคุมชนิดนี้มีเพียงโปรเจสตินซึ่งเป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในรูปแบบสังเคราะห์ ไม่มีส่วนผสมของฮอร์โมนในกลุ่มเอสโตรเจน ที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อารมณ์แปรปรวน คลื่นไส้อาเจียน
วิธีฉีดยาคุมกำเนิดทำได้โดยฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อบริเวณต้นแขนข้างที่ไม่ถนัดหรือบริเวณกล้ามเนื้อสะโพก ฮอร์โมนโปรเจสตินจะซึมเข้าสู่กระแสเลือดและช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ด้วยการทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลงจนตัวอ่อนที่เกิดจากการปฏิสนธิไม่สามารถฝังตัวได้ ทำให้มูกมดลูกเหนียวขึ้นจนอสุจิผ่านเข้าไปผสมกับไข่ที่บริเวณปากมดลูกได้ยากขึ้น ทั้งยังช่วยยับยั้งการตกไข่ด้วย เพื่อให้ยาคุมกำเนิดแบบฉีดออกฤทธิ์อย่างต่อเนื่อง ควรฉีดทุก 3 เดือน และควรไปพบคุณหมอตามนัดฉีดยาหรือภายในไม่เกิน 1 สัปดาห์หากครบกำหนดฉีดยาคุมกำเนิดรอบใหม่
การฉีดยาคุมกำเนิด มีประโยชน์อย่างไร
ประโยชน์ของการฉีดยาคุมกำเนิด อาจมีดังนี้
- มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงและปลอดภัย
- ช่วยให้ป้องกันการตั้งครรภ์ได้สะดวกขึ้น เนื่องจากไม่ต้องกินยาทุกวัน จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงในการลืมกินยาเม็ดคุมกำเนิด และอาจออกฤทธิ์ได้นานถึง 3 เดือน
- ไม่กระทบต่อการมีเพศสัมพันธ์
- ราคาถูก อาจเข้าถึงได้ง่ายกว่าการคุมกำเนิดประเภทอื่น เช่น ห่วงอนามัยคุมกำเนิด การฝังยาคุมกำเนิด ยาเม็ดคุมกำเนิด
- สามารถรับบริการฉีดยาคุมได้ง่ายและสะดวก มีเงื่อนไขน้อย
- ลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายที่อาจเกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนในยาคุมกำเนิดชนิดอื่น เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด
- สามารถฉีดยาคุมกำเนิดได้ในช่วงให้นมบุตร ไม่ส่งผลต่อปริมาณและคุณภาพของน้ำนม
- อาจช่วยลดอาการปวดประจำเดือนที่รุนแรงได้ในผู้หญิงบางคน
ผลข้างเคียงของการ ฉีดยาคุม
ผลข้างเคียงของการฉีดยาคุมกำเนิดที่พบได้บ่อย อาจมีดังนี้
- ประจำเดือนขาดช่วง มาไม่เป็นปกติ รอบประจำเดือนเปลี่ยนไป
- มีปริมาณเลือดประจำเดือนมากกว่าปกติ
- รู้สึกกังวล กระวนกระวาย
- เจ็บคัดเต้านม
- มีตกขาวสีขาวหรือใสออกมามากกว่าปกติ
- รู้สึกเจ็บขณะที่มีเพศสัมพันธ์
- ตัวบวม
เวลาที่เหมาะสมในการ ฉีดยาคุม
- สามารถฉีดยาคุมกำเนิดตอนไหนก็ได้ แต่ต้องแน่ใจว่าไม่ได้กำลังตั้งครรภ์
- สามารถฉีดยาคุมหลังการคลอดได้ทันที แต่โดยทั่วไป คุณหมออาจให้ฉีดยาคุมกำเนิดหลังจากคลอดประมาณ 6 สัปดาห์
- หากฉีดยาคุมกำเนิดภายใน 21 วันหลังคลอด ช่วงนี้ภาวะการเจริญพันธ์ุอาจยังไม่กลับมาทำงานตามปกติ ระยะเวลา 21 วันหลังคลอด จึงอาจเป็นระยะปลอดภัยที่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่ตั้งครรภ์ หากฉีดยาคุมกำเนิดในระยะนี้ ยาสามารถทำงานได้ทันที
- หากฉีดยาคุมกำเนิดหลังคลอดเกิน 21 วัน อาจต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น เช่น การใช้ถุงยางอนามัย ร่วมด้วย ประมาณ 7 วัน โดยปกติยาคุมกำเนิดแบบฉีดจะออกฤทธิ์หลังฉีดอย่างน้อย 7 วัน
- สามารถฉีดยาคุมกำเนิดได้ทันทีหลังจากยุติการตั้งครรภ์หรือแท้งตามธรรมชาติ หากฉีดยาหลังการแท้ง 5 วันขึ้นไป อาจต้องคุมกำเนิดด้วยการใช้ถุงยางอนามัยประมาณ 7 วัน
- หากต้องการป้องกันการตั้งครรภ์ในระยะยาวด้วยการฉีดยาคุมกำเนิด ควรเข้ารับการฉีดยาคุมกำเนิดภายใน 1 สัปดาห์หลังครบกำหนดฉีดยาคุมกำเนิดรอบใหม่ โดยทั่วไป จะฉีดยาคุม ปีละ 4 ครั้ง หรือทุก ๆ 3 เดือน
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาคุณหมอ
หากฉีดยาคุมกำเนิดแล้วเกิดผลข้างเคียงหรือภาวะดังต่อไปนี้ จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรรีบเข้าพบคุณหมอทันที
อาการที่พบได้บ่อย
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
- มีปัญหาด้านสุขภาพทางเพศ เช่น สมรรถภาพทางเพศลดลง หมดอารมณ์ทางเพศ
- น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
อาการที่พบได้ไม่บ่อยนัก
- ซึมเศร้า
- ขยับร่างกายลำบาก
- ผมร่วงหรือผมบางลง
- อ่อนแรง
- ปวดเนื้อตัว ปวดกระดูก
- มีปัญหาด้านการนอนหลับ