backup og meta

คางทูม (Mumps) อาการ สาเหตุ การรักษา

คางทูม (Mumps) อาการ สาเหตุ การรักษา

โรค คางทูม (Mumps) เป็นภาวะที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ทำให้ต่อมน้ำลายที่อยู่ใกล้ ๆ ใบหูอักเสบ และอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น สูญเสียการได้ยิน ดังนั้น จึงควรศึกษาวิธีการสังเกตอาการ รวมไปถึงการรักษาและการป้องกันโรคคางทูมอย่างเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ

[embed-health-tool-heart-rate]

คำจำกัดความ

คางทูม คืออะไร

คางทูม (Mumps) เป็นโรคติดต่อในระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัส โรคนี้ติดต่อจากคนสู่คนผ่านสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย พบมากในเด็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโรคหัด โรคคางทูม และ โรคหัดเยอรมัน (Measles-mumps- rubella vaccine; MMR vaccine) เชื้อไวรัสสามารถส่งผลต่อวัยวะหลายส่วน แต่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ต่อมน้ำลาย คือทำให้ต่อมน้ำลายอักเสบ จนบริเวณกรามหรือคางบวมขึ้น จึงได้ชื่อว่า โรคคางทูม

คางทูมพบบ่อยเพียงใด

โรคคางทูมเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโรคหัด โรคคางทูม และ โรคหัดเยอรมัน แต่ก็สามารถพบในคนวัยอื่นได้เช่นกัน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดปรึกษาแพทย์

อาการ

อาการของคางทูม

อาการของโรคคางทูมมักปรากฏให้เห็นหลังติดเชื้อประมาณ 2-3 อาทิตย์ โดยอาการที่พบได้มากที่สุดของโรคคางทูมก็คือ ต่อมน้ำลายอักเสบ จนส่งผลให้บริเวณกรามหรือคางข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างบวมกว่าปกติ และผู้ป่วยมักมีอาการดังต่อไปนี้ร่วมด้วย

ส่วนใหญ่แล้ว อาการของโรคคางทูมจะหายได้ภายใน 2 สัปดาห์ แต่ผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการใด ๆ เลย หรือมีอาการเบามาก เช่น มีอาการคล้ายไข้หวัด จนเข้าใจผิดว่าตัวเองป่วยเป็นโรคอื่น หรือไม่คิดว่าเป็นคางทูม จึงไม่ได้เข้ารับการตรวจรักษาที่ถูกต้อง

บางครั้ง โรคคางทูมอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนดังต่อไปนี้ได้ด้วย โดยเฉพาะในผู้ใหญ่

  • อัณฑะอักเสบในผู้ชายที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้ว และอาจส่งผลให้ลูกอัณฑะฝ่อได้ด้วย
  • รังไข่อักเสบ หรือเต้านมอักเสบ
  • ตับอ่อนอักเสบ
  • เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • ไข้สมองอักเสบ
  • หูอักเสบ จนส่งผลให้สูญเสียการได้ยิน

ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด

หากมีสัญญาณหรืออาการของโรคคางทูม หรือมีอาการดังต่อไปนี้ ควรไปพบคุณหมอทันที

และอย่าลืมแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ทราบด้วยว่าอาจเป็นโรคคางทูม เพราะโรคนี้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ เจ้าหน้าที่จะได้เตรียมป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสได้อย่างเหมาะสมที่สุด

สาเหตุ

สาเหตุของ คางทูม

โรคคางทูมเกิดจากการติดเชื้อไวรัสคางทูม ซึ่งเป็นไวรัสกลุ่มพารามิคโซไวรัส (Paramyxovirus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสกลุ่มที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อในเด็กซึ่งพบได้บ่อยที่สุด

ไวรัสนี้แพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านทางน้ำมูก หรือน้ำลาย เมื่อคุณได้รับเชื้อไวรัสคางทูมเข้าสู่ร่างกายผ่านระบบทางเดินหายใจ และไม่มีภูมิคุ้มกันเชื้อนี้ เชื้อจะเดินทางไปที่ต่อมน้ำลายที่อยู่บริเวณหน้ากกหู (Parotid gland) และเริ่มเจริญเติบโตและแพร่กระจาย จนทำให้ต่อมน้ำลายอักเสบ

และไม่ใช่แค่ส่งผลต่อต่อมน้ำลายได้เท่านั้น เพราะไวรัสคางทูมสามารถเข้าไปในน้ำไขสันหลัง ซึ่งทำหน้าที่หล่อเลี้ยงและปกป้องสมองกับไขสันหลังของเรา ก่อนจะแพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น สมอง ตับอ่อน อัณฑะ รังไข่ และทำให้อวัยวะนั้น ๆ อักเสบได้

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงของโรคคางทูม

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดปรึกษาแพทย์

การวินิจฉัยและการรักษาโรค

ข้อมูลที่นำเสนอไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

การวินิจฉัยโรคคางทูม

หากสงสัยว่าเป็นโรคคางทูม แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอก่อนเข้ารับการรักษา คุณหมอจะได้แนะนำวิธีป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นเมื่อคุณไปถึงสถานพยาบาล

คุณหมอจะซักประวัติ ตรวจร่างกายเบื้องต้น ถามอาการ และสอบถามว่าผู้ป่วยเคยได้รับวัคซีนโรคหัด โรคคางทูม และ โรคหัดเยอรมัน มาก่อนหรือไม่ และบางครั้ง คุณหมออาจต้องเก็บตัวอย่างน้ำลายและเลือดของผู้ป่วยไปตรวจด้วย

การรักษาโรคคางทูม

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคคางทูมโดยเฉพาะ โดยปกติแล้ว โรคคางทูมจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยคุณหมอจะแนะนำให้คุณบรรเทาอาการของโรคด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • พักผ่อนให้มาก ๆ
  • หากผู้ป่วยอายุมากกว่า 16 ปี ก็สามารถกินยาแก้ปวด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) พาราเซตามอล (Paracetamol) ได้
  • ดื่มน้ำให้มาก ๆ และควรงดเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น น้ำผลไม้ เพราะอาจทำให้ต่อมน้ำลายยิ่งระคายเคือง
  • บรรเทาอาการปวดบวมของต่อมน้ำลายด้วยการประคบร้อนหรือประคบเย็น
  • กินอาหารที่เคี้ยวง่าย ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำซุป

หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 7 วัน ควรพบคุณหมอทันที

การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง

การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อจัดการกับคางทูม

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองต่อไปนี้ อาจช่วยป้องกันและช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคคางทูมได้

  • รับวัคซีนโรคหัด โรคคางทูม และ โรคหัดเยอรมัน (MMR)
  • หากเป็นโรคคางทูม ควรหยุดเรียนหรือหยุดงาน พักผ่อนอยู่บ้านจนกว่าอาการจะดีขึ้น หรือหายดีแล้ว
  • ล้างมือเป็นประจำด้วยน้ำและสบู่ แต่หากไม่สะดวก ควรพกเจลล้างมือไว้เสมอ จะได้หยิบใช้ได้สะดวก
  • ไอจามใส่ทิชชู่ และทิ้งทิชชู่ลงในถังขยะทันที และหากทำได้ ควรใส่ทิชชู่ในถุงพลาสติกแล้วผูกปากถุงให้มิดชิดก่อนทิ้งลงถังขยะ

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

Mumps. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/mumps/symptoms-causes/syc-20375361#:~:text=Mumps%20is%20a%20viral%20infection,of%20cases%20has%20dropped%20dramatically. Accessed January 8, 2021

Mumps. https://www.cdc.gov/mumps/index.html. Accessed January 8, 2021

Mumps: Prevention, Symptoms, and Treatment. https://www.healthline.com/health/mumps. Accessed January 8, 2021

Mumps. https://www.nhs.uk/conditions/mumps/. Accessed January 8, 2021

Mumps. https://kidshealth.org/en/parents/mumps.html. Accessed January 8, 2021

Mumps. https://www.webmd.com/children/vaccines/what-are-the-mumps#2. Accessed January 8, 2021

เวอร์ชันปัจจุบัน

31/01/2023

เขียนโดย เนตรนภา ปะวะคัง

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย พลอย วงษ์วิไล

อัปเดตโดย: พลอย วงษ์วิไล


บทความที่เกี่ยวข้อง

วัคซีนสำหรับเด็ก สำคัญอย่างไร และมีอะไรบ้าง

วัคซีนโควิด-19 ฉีดให้เด็กทารกกับเด็กเล็กได้หรือไม่


ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย เนตรนภา ปะวะคัง · แก้ไขล่าสุด 31/01/2023

ad iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา