โรคเอดส์ คือ การติดเชื้อเอชไอวีในระยะสุดท้าย หรือที่เรียกว่า ระยะเอดส์ ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านทางเพศสัมพันธ์ ทางเลือด และแพร่จากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอดบุตร และการให้นมบุตรได้ด้วย เพื่อความปลอดภัยและเฝ้าระวังการติดเชื้อ ควรศึกษา อาการของโรคเอดส์ รวมถึงอาการติดเชื้อเอชไอวีในระยะแรก ก่อนเสี่ยงเป็นโรคเอดส์ที่อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอลง
[embed-health-tool-vaccination-tool]
โรคเอดส์ เกิดจากอะไร
โรคเอดส์ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ การตั้งครรภ์หรือการให้นมบุตรจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวีสู่ลูก การถ่ายเลือด เช่น การบริจาคเลือด หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อเอชไอวีอาจทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวซีดีโฟร์ (CD4) ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค เมื่อใดที่ร่างกายมีเซลล์ซีดีโฟร์ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร ก็อาจส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอลง เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยบ่อย และถือว่าการติดเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ระยะเอดส์ หรือเป็นโรคเอดส์แล้ว
ระยะของการติดเชื้อเอชไอวีและ อาการของโรคเอดส์
ระยะของการติดเชื้อเอชไอวีและ อาการของโรคเอดส์ ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี มีดังนี้
ระยะที่ 1: อาการติดเชื้อเอชไอวีเฉียบพลัน
เป็นระยะแรกของการติดเชื้อเอชไอวี อาการอาจปรากฏภายใน 2-4 สัปดาห์หลังจากร่างกายได้รับเชื้อ โดยมีอาการคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ แต่อาจหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ อาการเริ่มต้นของการติดเชื้อเอชไอวี ได้แก่
- มีไข้
- ปวดศีรษะ และมีอาการทางประสาทอื่น ๆ ร่วมด้วย
- ต่อมน้ำเหลืองที่คอบวม เจ็บคอ
- มีแผลในปาก หลอดอาหาร ทวารหนัก หรืออวัยวะเพศ
- ไอ
- น้ำหนักลด
- ผื่นขึ้น
- ท้องเสีย
- เหงื่อออกมากโดยเฉพาะตอนกลางคืน
- ปวดกล้ามเนื้อ ข้อต่อ
ระยะที่ 2: อาการแฝงทางคลินิก
ระยะนี้เรียกอีกอย่างว่า การติดเชื้อเอชไอวีเรื้อรัง อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่จะหายไป แต่ปริมาณไวรัสอาจเพิ่มขึ้นในระดับที่ต่ำอยู่ หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อเอชไอวีอาจทำลายเซลล์ซีดีโฟร์ และระบบภูมิคุ้มกัน บางคนอาจไม่แสดงอาการใด ๆ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะที่ 2 นี้จึงอาจแพร่กระจายเชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว
ระยะที่ 3: อาการของโรคเอดส์
หากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก เชื้อไวรัสเอชไอวีอาจพัฒนาเข้าสู่ระยะสุดท้ายที่เรียกว่า ระยะเอดส์ หรือโรคเอดส์ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอ จนอาจแสดงอาการของโรคเอดส์ ดังนี้
- น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
- หายใจถี่
- เหนื่อยตลอดเวลา
- เหงื่อออกตอนกลางคืน
- มีไข้นานกว่า 10 วัน
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบบวมเป็นเวลานาน
- ท้องเสียนานกว่า 1 สัปดาห์
- ผื่นที่ผิวหนัง
- ระบบประสาทผิดปกติ เช่น ซึมเศร้า ความจำเสื่อม
- มีแผลในปาก ทวารหนัก และรอบ ๆ อวัยวะเพศ
- จุดสีขาว ชมพู น้ำตาล แดง หรือม่วงใต้ผิวหนัง หรือภายในปาก จมูก เปลือกตา
การป้องกันโรคเอดส์
การป้องกันโรคเอดส์ อาจทำได้ดังนี้
- สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น เนื่องจากเชื้อเอชไอวีสามารถแพร่กระจายผ่านทางเลือดได้
- ไม่ควรมีคู่นอนหลายคน เพราะอาจเสี่ยงได้รับเชื้อและแพร่กระจายเชื้อเอชไอวี
- สังเกตอาการของการติดเชื้อเอชไอวี และเข้าตรวจคัดกรองหาเชื้อเป็นประจำ
- ใช้ยาเพร็พ (PrEP-Pre-Exposure Prophylaxis) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสที่ใช้อาจช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้มากถึง 90% เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวี แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้เชื้อ ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อก่อนใช้ และควรใช้ยาเพร็พต่อเนื่องตามที่คุณหมอกำหนด พร้อมกับเข้ารับการทดสอบหาเชื้อทุก ๆ 6 เดือน
- ใช้ยาเพ็พ (PEP- Post-Exposure Prophylaxis) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสฉุกเฉินสำหรับผู้ที่มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวี โดยจะต้องใช้ยาเพ็พภายใน 72 ชั่วโมง และใช้ยาติดต่อกัน 28 วัน ทั้งนี้ หากสงสัยว่าสัมผัสเชื้อและเสี่ยงติดเชื้อ ควรรีบเข้ารับคำปรึกษาจากคุณหมอและตรวจเลือดทันที