หลังจากระบบภูมิคุ้มกันแพ้ให้กับเชื้อไวรัส HIV เชื้อจะแฝงตัวอยู่ในร่างกายโดยไม่แสดงอาการ และอาการป่วยก่อนหน้านี้ก็จะหายไป แต่บางคนก็อาจมีอาการป่วยเล็กน้อยอยู่บ้าง ระยะนี้เรียกว่า ระยะสงบทางคลินิก (Clinical Latency Stage) บางครั้งก็เรียกว่าระยะติดเชื้อเรื้อรัง (chronic HIV infection) หรือระยะการติดเชื้อไม่แสดงอาการ (Asymptomatic period) ตามปกติแล้วร่างกายจะมีเซลล์ซีดีโฟร์ (CD4 T cell) ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ (T-cell) ที่ทำงานร่วมกับระบบภูมิคุ้มกันในการป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ แต่เมื่อการติดเชื้อดำเนินมาถึงระยะนี้ เชื้อไวรัส HIV จะทำลายเซลล์ CD4 และทำลายระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย หากไม่ได้รับการรักษา เช่น การรับประทานยาต้านไวรัส จำนวนเซลล์ CD4 จะลดลงเรื่อย ๆ และทำให้เสี่ยงติดเชื้ออื่น ๆ ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เนื่องจากภูมิคุ้มกันลดลงอย่างมาก
ผู้ป่วยหลายคนที่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมด้วยการใช้ยาต้านไวรัสและดูแลตัวเองอย่างดีสามารถอยู่ในระยะนี้เป็นเวลาหลายปีและใช้ชีวิตได้ตามปกติ นอกจากนี้ การรับประทานยาต้านไวรัสสม่ำเสมอยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้ด้วย
3. การติดเชื้อในระยะที่ 3 หรือระยะโรคเอดส์
ระยะที่ 3 หรือระยะโรคเอดส์ ถือเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ซึ่งเป็นระยะที่ร่างกายมีปริมาณเซลล์ CD4 น้อยกว่า 200 และระบบภูมิคุ้มกันเสียหายอย่างหนัก ระยะนี้อาจเกิดขึ้นประมาณ 10 ปีหลังจากได้รับเชื้อ HIV หากผู้ติดเชื้อไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยอาจติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่าย ไม่สบายบ่อยครั้ง และมีอาการป่วยหนักเนื่องจากมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอมาก นอกจากนี้ ยังอาจมีโรคแทรกซ้อนที่เกิดในระยะนี้ หรือที่เรียกว่า โรคที่บ่งชี้ของการเป็นเอดส์ (AIDS-defining illness) เช่น โรคปวดอักเสบหรือโรคปอดบวม โรคคาโปซิซาร์โคมา (Kaposi Sarcoma) ซึ่งเป็นโรคมะเร็งผิวหนังชนิดหนึ่ง
สำหรับผู้ที่ไม่ทราบว่าตัวเองได้รับเชื้อ HIV อาจเริ่มมีอาการที่สังเกตในระยะนี้ เช่น
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย