เมื่อฤดูฝนมาเยือน โรคที่มักแฝงตัวมากับสายฝนอย่าง “ไข้เลือดออก” ก็เริ่มระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยมียุงลายเป็นพานะนำโรค ซึ่งสามารถกัดแล้วแพร่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย โดยอาการของไข้เลือดออกที่พบได้บ่อยคือ ไข้สูงเฉียบพลัน ร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ปวดหัว หน้าแดง เบื่ออาหาร อาเจียน รวมถึงมีจุดสีแดงเล็ก ๆ ขึ้นตามผิว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น การดูแลสุขภาพลูกหลานและจัดการสภาพแวดล้อมรอบตัวบ้านจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันโรคร้ายนี้
[embed-health-tool-bmr]
สาเหตุของโรคไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัส เดงกี (Dengue) โดยแบ่งออกได้เป็น 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 ซึ่งล้วนแต่สามารถก่อให้เกิดโรคไข้เลือดออกได้ ดังนั้น แม้ว่าบางคนอาจจะเคยเป็นโรคไข้เลือดออกแล้ว แต่ก็สามารถติดเชื้อไวรัสเดงกี่สายพันธุ์อื่นได้อีก ทำให้สามารถเป็นโรคไข้เลือดออกได้ซ้ำ ๆ
หลังจากที่ติดเชื้อไวรัสเดงกี่สายพันธุ์หนึ่งร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้น และจะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเดงกี่สายพันธุ์อื่นด้วยชั่วคราว ประมาณ 3-12 เดือน
ไข้เลือดออก อาการ เป็นอย่างไร
สำหรับการติดเชื้อไวรัสเดงกีครั้งแรก ส่วนใหญ่ผู้ป่วยราว 80–90% มักจะไม่มีอาการรุนแรง แต่หากติดเชื้อซ้ำด้วยไวรัสคนละสายพันธุ์ อาจเกิดอาการรุนแรงจนเป็น ภาวะไข้เลือดออก ซึ่งมีอาการแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ
1. ระยะไข้
ผู้ป่วยจะมีไข้สูงต่อเนื่อง โดยอุณหภูมิร่างกายจะอยู่ที่ประมาณ 38.5 – 40 องศาเซลเซียส อาการไข้สูงจะเกิดขึ้นประมาณ 2-7 วัน ร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ไข้สูง หนาวสั่น หน้าแดง ปวดกระบอกตา เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้อง ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกส่วนใหญ่จะไม่มีน้ำมูก ไม่มีอาการไอ
2. ระยะวิกฤต
เมื่อไข้เริ่มลดลง บางรายอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่หากเกิดภาวะแทรกซ้อนจะมีอาการรุนแรง ได้แก่
- เกล็ดเลือดต่ำ เลือดออกง่าย และอาการไม่ทุเลา ยังคงมีคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และอ่อนเพลียมากขึ้น
- ภาวะการไหลเวียนเลือดล้มเหลว (ช็อก) พบได้ราวหนึ่งในสามของผู้ป่วย เกิดจากพลาสมารั่วออกไปในช่องปอดหรือช่องท้อง ทำให้เกิดภาวะช็อก อาการที่พบคือ กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรอ่อน ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง และอาจเสียชีวิตได้
- ภาวะเลือดออกผิดปกติจากเกล็ดเลือดต่ำ เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด หรือขับถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
ระยะวิกฤตนี้ใช้เวลาประมาณ 24–48 ชั่วโมง หากผู้ป่วยมีไข้เกิน 2 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรรีบพบคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา
3. ระยะฟื้นตัว
เมื่อพ้นภาวะวิกฤต อาการต่าง ๆ จะค่อย ๆ ดีขึ้น ผู้ป่วยกลับมารับประทานอาหารได้ ความดันโลหิตกกลับมาเป็นปกติ ชีพจรเต้นแรงขึ้นและช้าลง ปัสสาวะออกมากขึ้น และบางรายอาจพบผื่นแดงหรือจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามลำตัว
ไข้เลือดออก อันตรายแค่ไหน
โรคไข้เลือดออกอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ตับอักเสบ ไตวาย สมองอักเสบ และอาจส่งผลให้อวัยวะภายในต่าง ๆ ล้มเหลว ไม่ทำงาน ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ดังนี้
- เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี: เสี่ยงอาการชักจากไข้สูงหรือสมองอักเสบ
- ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
- ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์
- ผู้ป่วยโรคประจำตัว: เช่น โรคอ้วน โรคปอด หรือโรคหัวใจ อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยกลุ่มอื่น และอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน ทำให้การรักษายากกว่าผู้ป่วยกลุ่มอื่น ๆ
- ผู้ที่กำลังใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
- ผู้ที่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกแล้ว
การรักษาโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกไม่มีการรักษาที่เฉพาะ และตอนนี้เริ่มมีวัคซีนแล้ว แม้ยังไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่ลดความรุนแรงได้ แพทย์อาจพิจารณารักษาตามอาการ แบบประคับประคอง โดยใช้ยาลดไข้ ประกอบกับการให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้เพียงพอ และพักผ่อนมาก ๆ
เมื่อแพทย์ให้ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ผู้ที่ดูแลผู้ป่วยสามารถเช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำธรรมดา ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อน ๆ ดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำเกลือแร่บ่อย ๆ และกินยาตามแพทย์สั่ง
การป้องกันไข้เลือดออก
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการป้องกันไข้เลือดออก คือการลดการขยายพันธุ์ของ ยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออก รวมไปถึงการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยสามารถทำได้ ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แออัด โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโรค
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น ทำลายแหล่งน้ำขังรอบบ้าน หรือปิดฝาภาชนะที่ใส่น้ำให้มิดชิด
- ติดมุ้งลวดหรือใช้มุ้งกันยุง รวมไปถึงปิดหน้าต่างละประตูให้มิดชิดเพื่อป้องกันยุง
- สวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวเมื่ออยู่นอกอาคาร เพื่อป้องกันการถูกยุงกัด
- ใช้ยากันยุงที่มีประสิทธิภาพ ทั้งแบบทาหรือแบบจุดไล่ยุง