backup og meta

ดูแลแผลไฟไหม้ อย่างไรถึงจะปลอดภัยที่สุด

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย สิฏฐิณิศา รัชตวโรทัย · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

    ดูแลแผลไฟไหม้ อย่างไรถึงจะปลอดภัยที่สุด

    หากคุณมีแผลไฟไหม้แล้วไปพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อรักษา แพทย์จะต้องทำการประเมินความรุนแรงของแผลไฟไหม้ว่าอยู่ในระดับไหนด้วยการตรวจผิวหนัง แต่ในการ ดูแลแผลไฟไหม้ ที่เกิดขึ้น คุณเองก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง บทความนี้ ทาง Hello คุณหมอ มีข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากกัน

    วิธีการ ปฐมพยาบาลแผลไฟไหม้

    เมื่อเกิดแผลไฟไหม้ สิ่งที่ควรรีบทำที่สุดก็คือการปฐมพยาบาล ซึ่งบางคนอาจจะยังไม่รู้วิธีการปฐมพยาบาลที่ถูกวิธี ดังนั้น ลองมาดูวิธีการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องกันก่อนดีกว่า

  • หยุดกระบวนการเผาไหม้โดยเร็วที่สุด
  • วิธีนี้รวมไปถึงการนำบุคคลที่บาดเจ็บออกจากสถานที่เกิดเหตุ การดับไฟด้วยน้ำเปล่า การใช้ผ้าห่มปกคลุมเปลวไฟ แต่วิธีการเหล่านี้ต้องได้รับการอบรมเบื้องต้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และควรทำด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจจะเสี่ยงต่อการถูกไฟไหม้ได้เช่นกัน

    • ถอดเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับ

    พยายามถอดเสื้อผ้า เครื่องประดับ รวมถึงผ้าอ้อม ออกจากบริเวณที่โดนผิวหนัง แต่อย่าพยายามเอาสิ่งเหล่านี้ออกถ้ามันติดอยู่บนผิวหนังที่ถูกไฟไหม้ เพราะมันอาจจะทำให้บาดแผลเกิดความเสียหายมากขึ้น

  • ทำให้บริเวณที่โดนไฟไหม้เย็นลง
  • สามารถทำได้ด้วยการใช้น้ำเย็น หรือน้ำอุ่นล้างแผลประมาณ 20 นาที โดยจะต้องทำโดยเร็วที่สุดหลังจากได้รับบาดเจ็บ ที่สำคัญ ห้ามใช้น้ำแข็ง หรือครีมในการทำให้แผลเย็นลง

    • ให้ความอบอุ่น

    พยายามทำให้ตัวเอง หรือผู้ที่ประสบเหตุไฟไหม้อบอุ่น ด้วยการใช้ผ้าห่มหรือเสื้อผ้าที่หนาๆ มาคลุมไว้ แต่พยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่บาดเจ็บ การรักษาความอบอุ่นจะช่วยป้องกันภาวะอุณหภูมิในร่างกายลดลง ซึ่งเมื่อประสบเหตุไฟไหม้ อุณหภูมิของร่างกายจะลดลงต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส

    • ทานยา

    การทานยาพาราเซตามอลหรือไอบูโพรเฟนก็เพื่อรักษาอาการปวดที่เกิดจากแผลไฟไหม้นั่นเอง แต่ทั้งนี้ควรใช้โดยได้รับคำแนะนำจากเภสัชหรือผู้ที่เชี่ยวชาญจะเป็นการดีที่สุด และเด็กที่ต่ำกว่าอายุ 16 ไม่ควรได้รับยาแอสไพริน

    • นั่งตัวตรงให้มากที่สุด

    พยายามนั่งให้ตัวตรงมากที่สุด หากใบหน้าหรือดวงตาของคุณถูกไฟไหม้ เพื่อช่วยลดอาการบวมที่อาจเกิดขึ้น หลีกเลี่ยงการนอนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    วิธีการ ดูแลแผลไฟไหม้ อย่างปลอดภัย

    การ ดูแลแผลไฟไหม้ มีด้วยกันหลายวิธี ทั้งการดูแลด้วยตัวเองที่บ้าน ไปจึงถึงขั้นการเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยแผลไฟไหม้เล็กน้อยนั้นสามารถรักษาเองได้ที่บ้าน ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ภายใน 2-3 สัปดาห์

    แต่หากเป็นแผลไฟไหม้อย่างรุนแรงนั้น หลังจากมีการปฐมพยาบาลแล้ว ทางแพทย์จะมีการประเมินบาดแผล เพื่อเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสม ซึ่งมีทั้งการใช้ยาในการรักษา รวมไปถึงการผ่าตัด ซึ่งเป้าหมายทั้งหมด ก็เพื่อควบคุมความเจ็บปวด โดยการกำจัดเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว นอกจากนั้นก็เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อที่แผลอีกด้วย ดังนั้น ลองมาดูวิธีการดูแลแผลไฟไหม้ ในแบบต่างๆ กัน ดังนี้

    การรักษาทางการแพทย์

    หลังจากได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับแผลไฟไหม้แล้ว การรักษาทางการแพทย์อาจจะมีการใช้ยาเข้ามาร่วมด้วย เพื่อกระตุ้นการรักษาให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งการรักษาแผลไฟไหม้ทางการแพทย์ มีดังนี้

    • การบำบัดด้วยน้ำ

    ทีมแพทย์อาจดูแลแผลไฟไหม้ของคุณด้วยการใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การบำบัดด้วยคลื่นอัลตร้าซาวน์ เพื่อทำความสะอาดและกระตุ้นเนื้อเยื่อบริเวณแผล ส่วนของเหลวนั้นใช้เพื่อป้องกันการขาดน้ำ โดยร่างกายของคุณอาจจะต้องการของเหลวทางหลอดเลือดดำ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ และอวัยวะภายในล้มเหลว

    • ยาแก้ปวดและวิตกกังวล

    แผลไฟไหม้จากการรักษาสามารถก่อให้เกิดความเจ็บปวดได้ ดังนั้น แพทย์อาจจะต้องให้มอร์ฟีนและยาลดความวิตกกังวล ร่วมในการรักษาด้วย

    • ครีมและขี้ผึ้ง

    หากคุณไม่ได้รับการย้ายไปยังศูนย์ดูแลแผลไฟไหม้ (Burn Center) ทีมแพทย์ที่ดูแลรักษาคุณอยู่ อาจจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมาใช้ในการรักษาบาดแผล เช่น ยาปฏิชีวนะ อย่าง บาซิทราซิน (Bacitracin และ ซิลเวอร์ ซัลฟาไดอะซีน (Silver Sulfadiazine) เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อ นั่นเอง

    • เครื่องแต่งกาย

    หากคุณถูกโอนย้ายไปยังศูนย์ดูแลแผลไฟไหม้ แผลของคุณอาจจะถูกปกคลุมด้วยผ้ากอซแห้งแทนเครื่องแต่งกาย เพื่อเตรียมความพร้อมของแผลในการรักษา

  • ยาที่ต่อสู่กับการติดเชื้อ
  • เมื่อคุณติดเชื้อ คุณอาจจะต้องได้รับยาปฏิชีวนะชนิดฉีด (IV antibiotics) เพื่อช่วยในการรักษา

    • วัคซีนบาดทะยัก (Tetanus Shot)

    แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก หลังจากได้รับการบาดเจ็บจากแผลไฟไหม้

    กายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัดต่างๆ

    หากแผลไฟไหม้มีขนาดใหญ่ ทั้งยังครอบคลุมบริเวณข้อต่อต่างๆ คุณอาจจะต้องเข้ารับการทำกายภาพบำบัด เพราะการทำเช่นนี้จะช่วยยืดผิว เพื่อให้ข้อต่อสามารถยืดหยุ่นได้ นอกจากนั้นการออกกำลังกายประเภทอื่นๆ ก็สามารถปรับปรุงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้อีกด้วย ซึ่งกิจกรรมบำบัดต่างๆ นั้นอาจช่วยให้แผลไฟไหม้ดีขึ้นได้ ถ้าหากคุณมีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ

    การผ่าตัดและอื่นๆ

    หากแผลไฟไหม้มีขนาดใหญ่ แพทย์อาจจะเลือกวิธีการผ่าตัด เพื่อรักษาแผลไฟไหม้ ซึ่งคุณอาจจะต้องใช้ขั้นตอน ดังต่อไปนี้

    • เครื่องช่วยหายใจ

    หากคุณถูกไฟไหม้ที่ใบหน้า หรือลำคอ อาจส่งผลทำให้เกิดอาการบวมที่ลำคอ ดังนั้น แพทย์อาจจะใส่เครื่องช่วยหายใจเอาไว้ที่หลอดลม เพื่อเก็บออกซิเจนไว้ในปอด

    • หลอดอาหาร

    ผู้ที่มีแผลไฟไหม้ หรือผู้ที่ได้รับอาหารไม่เพียงพอ อาจต้องการการสนับสนุนทางโภชนาการ ดังนั้น แพทย์อาจจะใช้หลอดอาหารสอดเอาไว้ที่จมูก เพื่อส่งอาหารไปยังกระเพาะอาหารของคุณ

    • แผลตกสะเก็ด (Eschar)

    หากแผลไฟไหม้มีการตกสะเก็ด โดยเฉพาะบริเวณรอบๆ หน้าอก อาจจะทำให้เกิดการหายใจลำบาก ดังนั้น แพทย์อาจจะตัดเอาแผลที่ตกสะเก็ดนี้ออก เพื่อบรรเทาความดัน ทั้งยังทำให้เลือดไหลเวียนบริเวณแผลได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

    • ปลูกถ่ายผิวหนัง

    การปลูกถ่ายผิวหนัง เป็นขั้นตอนการผ่าตัดโดยใช้บริเวณผิวที่มีสุขภาพดี มาแทนที่เนื้อเยื่อแผลที่เกิดจากแผลไฟไหม้ลึก ซึ่งผิวหนังที่นำมาใช้นั้น จะเป็นผิวหนังของผู้ได้รับบาดเจ็บเอง ผิวหนังจากผู้บริจาค หรือผิวหนังของหมูที่ตายแล้ว ก็สามารถนำมาใช้ในการแก้ปัญหาชั่วคราวได้

    • ทำศัลยกรรมพลาสติก

    การทำศัลยกรรมพลาสติก เป็นการปรับปรุงลักษณะรอยแผลเป็นที่เกิดจากไฟไหม้ให้มีลักษณะดีขึ้น ทั้งยังเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อที่ได้รับผลกระทบจากรอยแผลเป็นอีกด้วย

    แต่ถ้าหากแผลไฟไหม้อยู่ในระดับที่ 3 การโทรแจ้งสายด่วน 1669 เพื่อแจ้งเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน ก็ถือเป็นเรื่องที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นแล้วควรปกป้องพื้นที่ที่ถูกไฟไหม้ ด้วยการคลุมอย่างหลวมๆ ด้วยผ้าพันแผลที่ปลอดเชื้อ แต่หากแผลไฟไหม้มีขนาดใหญ่ก็ควรหาพลาสติกที่สะอาดมาคลุมเอาไว้แทน ไม่ควรใช้สำลีในการครอบคลุมแผล จากนั้นควรแยกนิ้วและนิ้วเท้าที่ถูกไฟไหม้ด้วยผ้าพันแผลที่แห้ง และเอาแผลไฟไหม้แช่ในน้ำ หรือนำขี้ผึ้งมาทา เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    ทีม Hello คุณหมอ


    เขียนโดย สิฏฐิณิศา รัชตวโรทัย · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา