ลบรอยสิว อาจเป็นปัญหาผิวหนังที่กวนใจ เพราะบางคนนั้นอาจปรากฏเป็นรอยขนาดใหญ่และมีสีเข้ม ที่ทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียน สีผิวไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง ดังนั้น จึงควรศึกษาวิธีที่ช่วย ลบรอยสิว เพื่อให้รอยค่อย ๆ จางลง จนมีสีผิวสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยตัวเองหรือเข้าพบคุณหมอโดยตรง
[embed-health-tool-bmi]
รอยสิวเกิดจากอะไร
รอยสิวเ อาจเกิดจากสิวชนิดต่าง ๆ เช่น สิวหัวดำ สิวหัวขาว สิวตุ่มแดง สิวตุ่มหนอง และสิวซีสต์ เนื่องจากสิวเหล่านี้อาจส่งผลให้รูขุมขนขยายและมีการสะสมสิ่งสกรปรกมาก เมื่อสิวยุบหรือมีการบีบสิวเพื่อขจัดสิ่งปรกออก จึงอาจทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น เนื้อเยื่อผิวหนังถูกทำลายนำไปสู่การเกิดแผลและปรากฏเป็นรอยสิวทิ้งไว้
ประเภทของรอยสิวมีดังต่อไปนี้
- รอยดำ รอยแดง คือ รอยสิวที่พบได้บ่อย ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นในบริเวณที่มีการอักเสบของสิว หลังจากสิวหายหรือสิวยุบอาจทิ้งรอยดำและรอยแดงไว้
- รอยแผลเป็นนูน มีลักษณะเป็นก้อนนูนแข็งใต้ผิวหนังบริเวณที่เคยเป็นสิว อาจมีขนาดเท่ากับหรือใหญ่กว่ารอยสิวเดิม ขึ้นอยู่กับความเสียหายของเนื้อเยื่อในชั้นผิวหนัง
- รอยสิวชนิดลึก (Icepick Scar) เป็นรอยแผลเป็นจากสิวที่ฝังลึก เพราะส่งผลให้ทำร้ายเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ซึ่งในขณะที่เซลล์ผิวได้รับความเสียหายร่างกายจะผลิตคอลลาเจนเพื่อมาซ่อมแซมแต่ก็อาจไม่สามารถผลิตได้มากเพียงพอ จึงก่อให้เกิดหลุมสิวที่มีลักษณะเป็นรูเล็ก ๆ และลึก คล้ายกับถูกของมีคมเจาะลงไปในผิวหนัง พบได้มากในบริเวณแก้ม
- รอยสิวกว้าง (Boxcar Scar) เป็นรอยสิวแบบกว้าง มีลักษณะเป็นหลุมสิวและมีขอบนูนอย่างชัดเจน อีกทั้งยังอาจใช้ระยะเวลารักษานานกว่าชนิดอื่น ๆ เพราะรอยสิวชนิดนี้มักเกิดจากสิวระดับรุนแรงและมีขนาดใหญ่ทำให้เนื้อเยื่อผิวได้รับความเสียหายมาก
- รอยสิวตื้น (Rolling Scar) เป็นรอยสิวที่มีความกว้างประมาณ 4-5 มิลลิเมตร และมีความตื้น มีขอบรอยสิวที่ลาดเอียง ทำให้ผิวดูเป็นคลื่นไม่สม่ำเสมอ
ลบรอยสิว ทำได้อย่างไร
ลบรอยสิว ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและสีผิวสม่ำเสมอ อาจทำได้ดังนี้
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในการลบรอยสิว ที่ประกอบด้วยกรดไฮดรอกซี (Hydroxyl acids) และกรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) เพื่อช่วยลดรอยดำ รอยแดงจากสิว และอาจทำให้สีผิวสม่ำเสมอ
- การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการฉีดกรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic acid) เข้าไปบริเวณหลุมสิว เพื่อช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น ผิวหนังเต่งตึง รอยแผลเป็นจากสิวจางลง อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจช่วยลบรอยสิวเพียงชั่วคราวและอาจจะต้องทำการรักษาหลายครั้ง เมื่อฟิลเลอร์เริ่มสลายตัว
- การฉีดสเตียรอยด์ เป็นวิธีรักษารอยสิวนูนที่พบบ่อยมากที่สุด เพื่อช่วยให้รอยสิวยุบลง
- การฉีดโบท็อกซ์ อาจช่วยให้ผิวหนังที่เหี่ยวย่นดูเต่งตึงและเรียบเนียนขึ้น ที่ส่งผลให้รอยสิวดูจางลงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม วิธีลบรอยสิวด้วยการฉีดโบท็อกซ์อาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาซ้ำ ๆ หลายครั้งตามที่คุณหมอกำหนดเมื่อโบท็อกซ์เริ่มสลายตัว
- การลอกผิวด้วยสารเคมี เป็นวิธีลบรอยสิวด้วยการใช้สารเคมี เช่น กรดเอเอชเอ (AHA) กรดพีเอชเอ (PHA) เพื่อช่วยให้ผิวบริเวณที่ได้รับผลกระทบลอกออก ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและมีสีผิวสม่ำเสมอขึ้น
- ผลัดเซลล์ผิวด้วยเลเซอร์ วิธีลบรอยสิวนี้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ เพื่อช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิว ซ่อมแซมผิวที่ได้รับความเสียหายจากสิวที่อาจทำให้รอยสิวให้ดูจางลง
- ใช้ลูกกลิ้งนวดหน้า (Skin Needling) เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ลบรอยสิวชนิดหลุมสิว โดยส่วนปลายของอุปกรณ์จะเป็นลูกกลิ้งและมีหนามแหลมเล็กติดอยู่ โดยจะทำการกลิ้งไปมาบริเวณรอยสิวเพื่อช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในเนื้อเยื่อใต้ผิว ซ่อมแซมเซลล์ผิว ทำให้รอยสิวดูตื้นขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ควรเข้ารับการรักษากับคุณหมดโดยตรง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บและการเกิดแผลเป็นบนใบหน้า
- การใช้เข็มตัดพังผืดใต้ผิว (Subcision) เป็นวิธีลบรอยแผลเป็นจากสิว ที่อาจช่วยให้หลุมสิวหรือรอยสิวดูตื้นขึ้น โดยคุณหมอจะนำเข็มขนาดเล็กเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อตัดพังผืดที่เชื่อมติดกันออก
วิธีป้องกันการเกิดรอยสิว
วิธีป้องกันการเกิดรอยสิว อาจทำได้ด้วยการดูแลผิวหน้าให้ถูกวิธี เพื่อลดการเกิดสิว เนื่องจากรอยสิวมีสาเหตุหลักมาจากสิวชนิดต่าง ๆ ดังนั้น เมื่อสิวขึ้นจึงควรรักษาสิวด้วยการใช้ยาทาเป็นประจำ ล้างหน้าสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอมและเหมาะกับสภาพผิว อีกทั้งหลีกเลี่ยงการนำมือไปสัมผัสกับสิว เพราะอาจทำให้แบคทีเรียเข้าไปในชั้นผิวทำให้สิวอักเสบ
หลี่กเลี่ยงการแกะสิวเพราะจะทำให้เป็นรอยดำและรอยดำนานขึ้น และเสี่ยงเกิดรอยแผลเป็นตามมา
นอกจากนี้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน เพราะอาจเสี่ยงรูขุมขนอุดตันนำไปสู่การเกิดสิวอักเสบขนาดใหญ่ ที่นำไปสู่การเกิดรอยสิวและหลุมสิวหลังจากสิวหายได้