เด็ก ๆ ตะโกนใส่กัน เหมือนเป็นการเลียนแบบพฤติกรรมที่พบเห็นมาจากคุณพ่อคุณแม่ เด็กตะคอกกลับใส่คุณพ่อคุณแม่เวลาที่ทะเลาะหรือมีเรื่องไม่เข้าใจกัน คุณพ่อคุณแม่และเด็กเริ่มตีตัวออกห่างกัน เด็กให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าคนในครอบครัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อคุณแม่ วิธีหยุดตะคอกใส่เด็กเมื่อรู้สึกโกรธ
ไม่ตะคอก
เมื่อเด็กทำผิด หรือทำในสิ่งต้องห้าม หรือฝ่าฝืนคำสั่ง ให้เดินไปพูดกับเด็กโดยตรง และพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่กระโชกโฮกฮาก ไม่ควรตะโกนจากที่ไกล ๆ
รู้อารมณ์ตนเอง
ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะเดินไปพูดกับเด็กด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ให้ตั้งสติ พาตัวเองออกจากสถานที่ตรงนั้นสักครู่เพื่อสงบสติอารมณ์โกรธ หายใจเข้าลึก ๆ ทำใจเย็นลง แล้วจึงกลับไปพูดกับเด็กด้วยโทนเสียงปกติ
ใช้การอธิบาย
ในบางครั้งที่คุณพ่อคุณแม่โกรธ เด็ก ๆ อาจรับรู้ถึงอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไป ในระหว่างนี้ให้ใช้การพูดคุยแบบปกติ อธิบายว่าตอนนี้กำลังโกรธ โกรธเพราะอะไร เด็กทำผิดอย่างไร พวกเขาสามารถที่จะเรียนรู้พฤติกรรมเหล่านี้จากคุณพ่อคุณแม่ และอาจรู้จักใช้เหตุผลในการพูดคุยมากกว่าการระเบิดอารมณ์
ระวังคำพูด
ในช่วงเวลาที่อารมณ์กำลังปะทุไปด้วยความขุ่นเคือง คำพูดที่หลุดออกมาอาจเป็นไปในทางที่เสียดสีให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่ คำหยาบ คำแช่ง ต่าง ๆ นานา คุณพ่อคุณแม่อาจต้องระมัดระวังการกล่าวคำที่ไม่ดีเหล่านี้ พยายามเลือกใช้คำที่สื่อถึงอารมณ์ความรู้สึก ค่อย ๆ พูด ด้วยความใจเย็น อย่าโมโหจนกระทั่งขาดสติและใช้พูดคำที่รุนแรง เพราะคำพูดบางคำพูดอาจติดอยู่ในใจเด็กไปตลอด
ใช้ความใกล้ชิด
บางครั้งคุณพ่อคุณแม่อาจไม่ได้ตะโกนเพราะโมโหเสมอไป แต่เป็นการตะโกนเพื่อต้องการให้อีกฝ่ายทำตามคำสั่ง อาจเปลี่ยนจากการตะโกนจากที่ไกล ๆ เป็นการเดินเข้ามาหาเด็กแล้วบอกสิ่งที่ต้องการ เช่น หยิบถุงใบนั้นมาหาแม่หน่อยได้ไหม
ทำความเข้าใจ
คุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจทั้งต่อตัวเอง และทำความเข้าใจกับเด็กว่า การกระทำเช่นนี้ไม่สมควร และทำความเข้าใจกับเด็กว่าสิ่งที่ทำผิดไปอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่โกรธอย่างไร ขอโทษหากใช้คำพูดรุนแรง รวมถึงเปิดโอกาสที่จะรับฟังข้อเท็จจริงจากเด็ก ให้เด็กได้มีโอกาสพูดเพื่อที่จะได้ความกระจ่างมากขึ้น ไม่ควรเป็นฝ่ายพูดใส่เด็กเพียงฝ่ายเดียว ทั้งสองฝ่ายควรผลัดกันพูดและผลัดกันรับฟังซึ่งกันและกัน
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย