อาการแพนิค เป็นอาการตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน กระตุ้นปฏิกิริยาที่แสดงออกทางพฤติกรรมอย่างรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหวาดกลัว เสียขวัญ สูญเสียการควบคุมร่างกาย เหงื่อออก ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม ในบางกรณีอาการแพนิคอาจรุนแรงมากส่งผลให้หัวใจวายหรือเสียชีวิตได้ บางคนอาจมีอาการเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวหรือบ่อยครั้ง ทั้งนี้ ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อรักษาอาการแพนิคไม่ให้รุนแรงจนกระทบกับการใช้ชีวิต
อาการแพนิค คืออะไร
อาการแพนิค คือ อาการตื่นตระหนกมากกว่าปกติ อาจมีอาการหวาดกลัว ตื่นตกใจแม้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์อันตรายใด ๆ เกิดขึ้นจริง อาจส่งผลให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการกระทำ หรือกิจวัตรประจำวันบางอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ตื่นตระหนกอีก โดยอาการแพนิคสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และอาจเริ่มตั้งอายุ 15-25 ปี พบบ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ทั้งนี้ ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของอาการแพนิค แต่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อสมองของผู้ป่วยไวเป็นพิเศษในการตอบสนองต่อความกลัว อาจเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ สิ่งกระทบอารมณ์ที่ทำให้มีความรู้สึกด้านลบบ่อยครั้ง หรืออาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น ภาวะซึมเศร้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ การสูญเสียคนรัก อุบัติเหตุ สูญเสียทารก
อาการแพนิค ที่พบบ่อย
อาการแพนิคสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และมักเกิดขึ้นทันทีโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า บางคนอาจมีอาการบ่อยครั้งหรือเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว และหลังจากเกิดอาการแพนิค ผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนแรง เหนื่อยล้าได้ อาการแพนิคที่พบบ่อย ดังนี้
เกิดความวิตกกังวล รู้สึกไม่สบายใจ เริ่มหลีกเลี่ยงบางสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกกลัว รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น คิดถึงอันตรายล่วงหน้าหรือการพลัดพราก กลัวตาย สูญเสียการควบคุม มีเสียงก้องในหู หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก ตัวสั่น หนาวสั่น ร้อนวูบวาบ หายใจถี่หรือรู้สึกแน่นในลำคอ ปวดท้องน้อย คลื่นไส้ เจ็บหน้าอก ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม รู้สึกเสียวซ่า อาการชา ควรพบคุณหมอเมื่อไหร่
หากมีอาการแพนิคควรพบคุณหมอทันที เพราะหากอาการเกิดขึ้นอาจส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจและการดำเนินชีวิตในระยะยาว ซึ่งอาการแพนิคนั้นเป็นอาการที่ยากต่อการจัดการได้ด้วยตนเอง จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือจากคุณหมอ และหากไม่ทำการรักษาอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น หัวใจวาย โรคซึมเศร้า เพิ่มความเสี่ยงฆ่าตัวตาย ออกห่างจากสังคม เกิดปัญหาที่ทำงานหรือที่โรงเรียน ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติดในทางที่ผิด
การวินิจฉัยอาการแพนิค
คุณหมออาจวินิจฉัยอาการแพนิคด้วยการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด ทดสอบการทำงานของหัวใจ เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ รวมถึงประเมินทางจิตวิทยาโดยการพูดคุยเกี่ยวกับอาการ ประวัติครอบครัว ความกลัวหรือความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ตึงเครียด หรือปัญหาความสัมพันธ์ คุณหมออาจใช้เกณฑ์การวินิจฉัย ดังนี้
- ผู้ป่วยมีอาการตื่นตระหนกบ่อยครั้งและเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
- อาการตื่นตระหนกเกิดขึ้นอย่างน้อย 1 ครั้งหรือมากกว่านั้น หรือผู้ป่วยเกิดความกลัวอย่าสุดขีดหลังจากเกิดอาการแพนิคที่อาจทำให้สูญเสียการควบคุมร่างกายหรือหัวใจวาย หรือผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่าง เช่น หลีกเลี่ยงผู้คนหรือสถานการณ์บางอย่างที่คิดว่าอาจทำให้เกิดเกิดความตื่นตระหนกอีกครั้ง
- อาการแพนิคที่ไม่ได้เกิดจากการใช้ยาหรือสารเสพติด ปัญหาสุขภาพ หรือภาวะสุขภาพจิตอื่น ๆ เช่น โรควิตกกังวล หรือโรคย้ำคิดย้ำทำ
การรักษาอาการแพนิค
การรักษาอาจช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของการเกิดอาการแพนิคได้ ดังนี้
จิตบำบัด
จิตบำบัดเป็นวิธีบำบัดด้วยการพูดคุย หรือเรียกว่า การบำบัดพฤติกรรมทางปัญญา โดยนักบำบัดจะค่อย ๆ พูดคุยและสร้างสถานการณ์ให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย ไม่รู้สึกถูกคุกคามจากประสบการณ์เลวร้าย วิธีนี้อาจต้องใช้เวลาในการรักษาซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ
รักษาด้วยยา
ยาอาจช่วยลดอาการแพนิคที่อาจสร้างปัญหาให้กับการใช้ชีวิต มีดังนี้
- ยาต้านเศร้าเอสเอสอาร์ไอ (Selective serotonin reuptake inhibitors : SSRIs) ได้แก่ ฟลูออกซิทีน (Fluoxetine) พาร็อกซีทีน (Paroxetine) และเซอร์ทราลีน (Sertraline)
- ยาต้านเศร้าเอสเอนอาร์ไอ (Serotonin and norepinephrine reuptake inhibitors : SNRIs)
- เบนโซไดอะซีพีน (Benzodiazepines) เป็นยากดประสาทส่วนกลาง มักใช้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจ ได้แก่ อัลปราโซแลม (Alprazolam) และโคลนเซแพม (Clonazepam)
การป้องกันและการรักษาอาการแพนิค
อาจยังไม่มีวิธีที่สามารถป้องกันอาการแพนิคได้ แต่วิธีเหล่านี้อาจเป็นวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการได้ ดังนี้
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอและเข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
- เข้าร่วมกลุ่มสำหรับผู้ที่มีอาการแพนิคหรือโรควิตกกังวล เพื่อร่วมพูดคุยและไม่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกโดดเดี่ยว
- หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และยาเสพติด สิ่งเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้อาการแย่ลงได้
- จัดการความเครียดโดยการทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ปลูกต้นไม้ ดูหนังฟังเพลง และฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น โยคะ การหายใจลึก ๆ และการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
- เคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำโดยการออกกำลังกายแบบแอโรบิกอาจทำให้อารมณ์สงบลงได้
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกานรู้สึกสดชื่นและไม่ง่วงนอนระหว่างวัน