การ ฝังยาคุม เป็นวิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่ออกฤทธิ์ได้นาน สามารถใช้คุมกำเนิดระยะยาวได้ถึง 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้ การฝังยาคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง สามารถฝังและนำออกยาคุมออกได้อย่างรวดเร็ว อาจไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้เวลาพักฟื้นนาน อีกทั้งยังไม่ต้องกินยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นประจำทุกเดือน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยการใช้ยาคุมแบบฝังควรศึกษาถึงประโยชน์และผลข้างเคียงให้ถี่ถ้วน จะได้ทราบว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองหรือไม่
[embed-health-tool-ovulation]
ยาคุมกำเนิดแบบฝังทำงานอย่างไร
การใช้ยาคุมกำเนิดแบบฝังสามารถทำได้โดยการฝังหลอดยาขนาดเล็ก ยืดหยุ่นสูง ขนาดประมาณ 4 เซนติเมตรหรือประมาณไม้ขีดไฟไว้ใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขนท่อนบนของแขนข้างที่ไม่ถนัด ภายในหลอดยาจะบรรจุฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) หรือบางครั้งเรียกว่า โปรเจสโตเจน (Progestogen) ซึ่งจะค่อย ๆ ถูกปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดประมาณวันละ 70-60 ไมโครกรัม ตัวฮอร์โมนจะไปกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกฝ่อลง ทำให้ตัวอ่อนที่เกิดจากการปฏิสนธิฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูกได้ยากขึ้น กระตุ้นให้มูกมดลูกเหนียวข้นจนอสุจิเข้าไปสู่ปากมดลูกได้ยากขึ้น ทั้งยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของไข่และป้องกันไม่ให้มีการตกไข่ สามารถใช้คุมกำเนิดระยะยาวได้นานถึง 3-5 ปี
ประโยชน์ของการ ฝังยาคุม
ประโยชน์ของการฝังยาคุมกำเนิด อาจมีดังนี้
- สามารถคุมกำเนิดอย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพ
- ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน อาจมีอาการปวดท้องน้อยลง นอกจากนี้ รอบเดือนอาจมีระยะเวลาสั้นลงหรืออาจไม่มาเลย
- ใช้สะดวก อาจไม่ต้องกังวลเรื่องวิธีใช้ที่ถูกต้องเหมือนการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น เช่น ถุงยาง ยาเม็ดคุมกำเนิด แผ่นแปะคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิด
- ไม่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงไม่เกิดผลข้างเคียง เช่น วิงเวียนศีรษะ อารมณ์แปรปรวนง่าย เหมือนกับการกินยาเม็ดคุมกำเนิด
- เมื่อนำยาคุมกำเนิดแบบฝังออกแล้ว สามารถเริ่มวางแผนมีบุตรได้ทันที
- ลดโอกาสที่จะลืมกินยา ไม่ต้องกินยาทุกวัน
- สามารถฝังและนำออกได้ตามต้องการ แม้ยังไม่หมดอายุการใช้งานก็นำออกได้
- ใช้เวลาในการฝังหลอดยาคุมกำเนิดและนำหลอดยาคุมกำเนิดออกไม่นาน และอาจไม่ต้องพักฟื้นนาน
ข้อควรรู้ของการฝังยาคุมกำเนิด
สิ่งที่ควรรู้เมื่อต้องการฝังยาคุมกำเนิด อาจมีดังนี้
- การฝังยาคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้นาน 3-5 ปี หากต้องการคุมกำเนิดด้วยวิธีเดิมอย่างต่อเนื่อง ควรนำหลอดยาเก่าออกและฝังหลอดยาใหม่ทันทีเมื่อครบกำหนด
- ยาคุมกำเนิดแบบฝังจะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้หลังจากฝังยาคุมกำเนิด 7 วัน
- สามารถฝังยาคุมกำเนิดได้ทันทีหลังคลอดบุตร
- หากฝังยาคุมกำเนิดภายใน 21 วันหลังคลอด ช่วงนี้ภาวะการเจริญพันธ์ุอาจยังไม่กลับมาทำงานตามปกติ ระยะเวลา 21 วันหลังคลอด จึงอาจเป็นระยะปลอดภัยที่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่ตั้งครรภ์ หากฝังยาคุมกำเนิดในระยะนี้ ยาสามารถทำงานได้ทันที
- หากฝังยาคุมกำเนิดหลังคลอดเกิน 21 วัน อาจต้องใช้อุปกรณ์คุมกำเนิดอื่น เช่น ถุงยางอนามัย ร่วมด้วยประมาณ 7 วัน หลังจากนั้นยาคุมกำเนิดแบบฝังจะเริ่มออกฤทธิ์และป้องกันการตั้งครรภ์ได้
- หลังฝังยาคุมกำเนิด อาจมีผลเคียงข้างที่ไม่รุนแรงมากเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เช่น ปวดศีรษะ รู้สึกเจ็บหน้าอก อารมณ์แปรปรวน คลื่นไส้ อาเจียน
- ประจำเดือนอาจมาไม่ปกติ หรือไม่มาเลยในช่วงที่ ฝังยาคุม หรืออาจมีเลือดออกกระปริบกระปรอยทางช่องคลอดได้
- อาจเกิดสิว หรือทำให้มีปัญหาสิวเพิ่มขึ้น
- การฝังยาคุมกำเนิดไม่ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infections หรือ STI) จึงควรป้องกันด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การใช้ถุงยางอนามัย
ผลข้างเคียงของการฝังยาคุมกำเนิด
การฝังยาคุมกำเนิดจะส่งผลให้ประจำเดือนเปลี่ยนแปลง เช่น ความถี่ของรอบเดือนไม่คงที่ มีปริมาณเลือดประจำเดือนไม่แน่นอน บางคนอาจไม่มีประจำเดือนมาเลยในช่วงที่ฝังยาคุมกำเนิด ทั้งนี้ ผลข้างเคียงเล็กน้อยที่อาจพบได้บ่อยหลังฝังยาคุมกำเนิด เช่น
- ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ
- ส่งผลต่อสภาพผิว
- คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องอืด
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- สมรรถภาพทางเพศลดลง
- ช่องคลอดแห้งหรืออักเสบ
- เจ็บคัดเต้านม
- ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน
ฝังยาคุม เหมาะกับใคร
การฝังยาคุมกำเนิดถือว่าปลอดภัย และมีผลข้างเคียงที่กระทบต่อสุขภาพน้อย ทั้งยังป้องกันการตั้งครรภ์ได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือภาวะสุขภาพบางประการอาจต้องหลีกเลี่ยงการคุมกำเนิดแบบฝัง และใช้วิธีการคุมกำเนิดประเภทอื่นแทน
การฝังยาคุมกำเนิดเหมาะกับใคร
- คุณแม่ในช่วงให้นมลูกสามารถฝังยาคุมกำเนิดได้อย่างปลอดภัย ไม่กระทบต่อคุณภาพและปริมาณน้ำนม
- ผู้ที่ยังไม่ต้องการมีบุตร และประสงค์ที่จะคุมกำเนิดระยะยาว
- ผู้ที่ไม่ต้องการมีบุตรในช่วงหลังจากยุติการตั้งครรภ์หรือแท้งตามธรรมชาติ สามารถฝังยาคุมกำเนิดได้ทันที
- ผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด ถุงยางอนามัย ในระยะยาว ซึ่งหากต้องการรับบริการฝังยาคุมจากโรงพยาบาลรัฐ อาจมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2,500-3,000 บาท ทั้งนี้ ควรสอบถามสถานพยาบาลที่สนใจก่อนตัดสินใจเข้ารับการฝังยาคุมกำเนิด
การฝังยาคุมกำเนิดไม่เหมาะกับใคร
- ผู้ที่เคยมีประวัติการรักษามะเร็งเต้านมหรือกำลังรักษาโรคในปัจจุบัน
- ผู้ที่มีเนื้องอกที่ตับ หรือมะเร็งตับ
- ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดตีบตัน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง
- ผู้ที่สงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์
- ผู้ที่ไม่ต้องการให้รอบเดือนเปลี่ยนแปลงหรือผิดปกติไปจากเดิม
- ผู้ที่มีเลือดออกในช่องคลอดผิดปกติในช่วงระหว่างรอบเดือนหรือหลังจากมีเพศสัมพันธ์ และยังไม่ได้รับการวินิจฉัยโรค
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อการคุมกำเนิด แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอเพื่อวินิจจัยเพิ่มเติม และเข้ารับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับภาวะสุขภาพ
หลัง ฝังยาคุม สามารถมีบุตรได้อีกหรือไม่
ยาคุมกำเนิดแบบฝังสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เฉพาะตอนที่ฝังยาคุมกำเนิดอยู่ในร่างกายเท่านั้น ไม่มีผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ในระยะยาว เมื่อนำหลอดยาคุมกำเนิดออกแล้ว ก็สามารถวางแผนมีบุตรได้ทันที โดยปกติแล้ว จะเริ่มกลับมามีประจำเดือนภายใน 3 สัปดาห์หลังจากการนำยาคุมแบบฝังออกจากร่างกาย