อาการ ก่อน เป็น ประจำเดือน มีอะไรบ้าง บรรเทาอาการอย่างไร

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย นนทกร บัณฑิตสินทรัพย์ · แก้ไขล่าสุด 28/09/2022

    อาการ ก่อน เป็น ประจำเดือน มีอะไรบ้าง บรรเทาอาการอย่างไร

    อาการ ก่อน เป็น ประจำเดือน อาจเกิดขึ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน โดยอาจมีอาการทั้งทางด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ และด้านพฤติกรรม เช่น เจ็บหน้าอก ปวดหัว อารมณ์แปรปรวน อยากรับประทานอาหารมากกว่าปกติ ซึ่งอาการส่วนใหญ่มักไม่รุนแรง แต่ผู้หญิงบางคนอาจมีอาการก่อนเป็นประจำเดือนที่รุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้

    อาการก่อนเป็นประจำเดือน คืออะไร

    อาการก่อนเป็นประจำเดือน (Premenstrual Syndrome หรือ PMS) คือ อาการที่อาจเกิดขึ้นกับผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ มักเกิดก่อนมีประจำเดือนประมาณ 1-2 สัปดาห์ โดยอาจมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย อารมณ์ และพฤติกรรม เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน ซึ่งอาการอาจจะบรรเทาลงเมื่อประจำเดือนมาหรือหมด

    อาการ ก่อน เป็น ประจำเดือน

    อาการก่อนเป็นประจำเดือนอาจแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และบางครั้งอาการที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนก็อาจไม่เหมือนกัน โดยอาการที่พบได้บ่อย มีดังนี้

    อาการก่อนเป็นประจำเดือนทางด้านร่างกาย

    • เจ็บเต้านม หรือคัดตึงเต้านม
    • มือและเท้าบวม
    • ปวดศีรษะ
    • ปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก หรือท้องเสีย
    • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
    • อยากรับประทานอาหารเพิ่มขึ้น
    • น้ำหนักเพิ่มขึ้น
    • มีสิวขึ้น

    อาการก่อนเป็นประจำเดือนทางด้านอารมณ์

    • อารมณ์แปรปรวน หรือควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้
    • เศร้า หดหู่ ร้องไห้บ่อย
    • หงุดหงิด โมโหง่าย
    • เครียด
    • สับสัน วิตกกังวล กระวนกระวาย
    • นอนไม่ค่อยหลับ
    • ไม่อยากพบปะผู้คน
    • รู้สึกเหงา หวาดระแวง

    อาการก่อนเป็นประจำเดือนทางด้านพฤติกรรม

    • เหนื่อยง่าย อ่อนล้า
    • ขี้ลืม
    • ไม่มีสมาธิ หรือสมาธิสั้น
    • สนใจเรื่องการมีเพศสัมพันธ์น้อยลง

    สาเหตุของอาการก่อนเป็นประจำเดือน

    ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัดว่า อาการก่อนเป็นประจำเดือนเกิดจากสาเหตุใด อย่างไรก็ตาม อาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น

    • การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน เนื่องจากระดับฮอร์โมนไม่สมดุล และลดลงประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน จึงอาจทำให้มีอาการปวดท้องน้อย หงุดหงิดง่าย
    • การเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสมองอย่าง เซโรโทนิน (Serotonin) เป็นสารสื่อประสาทที่มีบทบาทต่อสภาวะทางอารมณ์ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการก่อนเป็นประจำเดือนได้ หากระดับเซโรโทนินต่ำ อาจทำให้รู้สึกหงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ อยากรับประทานอาหารเพิ่มขึ้น แต่ถ้าหากระดับเซโรโทนินสูง อาจมีอาการหนาวสั่น เป็นไข้ ปวดศีรษะ ท้องเสีย
    • การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนเป็นประจำ
    • มีความเครียดสะสม รวมถึงสภาพจิตใจและร่างกาย
    • ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ผู้หญิงที่มีค่าดัชนีมวลกายสูงกว่า 30 อาจมีแนวโน้มที่จะมีอาการก่อนเป็นประจำเดือนมากกว่าผู้หญิงที่มีน้ำหนักปกติประมาณ 3 เท่า

    วิธีบรรเทาอาการก่อนเป็นประจำเดือน

    วิธีรักษาและบรรเทาอาการก่อนเป็นประจำเดือน อาจทำได้ดังนี้

    • ยาแก้ปวด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) นาพรอกเซน (Naproxen) แอสไพริน (Aspirin)
    • ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม เพื่อปรับระดับฮอร์โมนในร่างกายให้สมดุล
    • ยาขับปัสสาวะ เป็นยากระตุ้นการขับปัสสาวะ และอาจมีฤทธิ์ในการช่วยระบายของเหลวออกจากร่างกาย ทำให้อาจช่วยลดอาการท้องอืดและคัดตึงเต้านม อย่างไรก็ตาม ควรบอกคุณหมอให้ทราบว่ามีการใช้ตัวยาอื่น ๆ โดยเฉพาะการใช้ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDS) เพราะการใช้ยาขับปัสสาวะร่วมกับยา NSAIDS อาจส่งผลเสียต่อไต
    • การบำบัดและผ่อนคลาย หากมีอาการเครียดสะสมมานาน หรือมีภาวะซึมเศร้า ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อรับการบำบัดหรือหาวิธีผ่อนคลายความเครียด

    วิธีป้องกันการมีอาการก่อนเป็นประจำเดือน

    การป้องกันอาการก่อนเป็นประจำเดือน อาจทำได้ด้วยวิธีการปรับไลฟ์สไตลบางอย่างในชีวิตประจำวัน เช่น

    • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช รวมถึงรับประทานพวกวิตามินบี 6 วิตามินอี แคลเซียม และแมกนีเซียม เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียว ปลาแซลมอน เนื่องจากสารอาหารเหล่านี้อาจช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้า ปวดศีรษะ หงุดหงิด วิตกกังวล และความอยากอาหาร
    • ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที/วัน การออกกำลังกายยังทำให้ร่างกายผลิตสารเอนโดรฟิน (Endorphins) เป็นสารที่ทำให้มีความสุขและช่วยลดความเครียด
    • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
    • รับมือกับความเครียดด้วยวิธีที่ดีต่อสุขภาพ เช่น เล่นโยคะ นวดผ่อนคลาย ทำสวน
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    พลอย วงษ์วิไล


    เขียนโดย นนทกร บัณฑิตสินทรัพย์ · แก้ไขล่าสุด 28/09/2022

    โฆษณา
    โฆษณา
    โฆษณา
    โฆษณา