ผู้ที่เป็นสิวเชื้อราบางรายอาจคันหนักขึ้นหลังทำกิจกรรมที่เหงื่อออกมาก เช่น ออกกำลังกาย อบซาวน่า อาบน้ำร้อน หากเกาอาจเกิดผื่นแดงลามไปทั่วบริเวณ ทั้งนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจเป็นเกลื้อนหรือโรคผิวหนังอักเสบ ที่เรียกว่า โรคเซ็บเดิร์ม ร่วมด้วย โรครูขุมขนอักเสบจากเชื้อรานี้ หากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจลุกลามถึงขั้นเป็นโรครูขุมขนอักเสบรุนแรง สร้างความเจ็บปวดทรมาน ทำให้ขนหลุดร่วงถาวรและเป็นแผลเป็นได้อีกด้วย
สาเหตุของสิวเชื้อรา
รูขุมขนอักเสบจากเชื้อราเกิดจากเชื้อราบนผิวหนังเจริญเติบโตมากผิดปกติ ซึ่งอาจมาจากปัจจัยเหล่านี้
- สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศ โดยเฉพาะ ผ้าใยสังเคราะห์ ทำให้เหงื่อออกมาก เนื่องจาก ยีสต์เจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อน ชื้น
- ทาผลิตภัณฑ์กันแดดหรือบำรุงผิวที่มันเกินไป เช่น น้ำมันมะพร้าว ทำให้รูขุมขนอุดตัน
- เป็นคนผิวมัน ซึ่งน้ำมันบนผิวคืออาหารของยีสต์
- ระบบภูมิคุ้มกันมีปัญหาจึงไม่สามารถควบคุมเชื้อยีสต์บนผิวหนังได้
- เครียดหรือเหนื่อยล้า
- เป็นโรคเบาหวาน
- รับประทานยากลุ่มสเตียรอยด์ เช่น ยาเพรดนิโซน (Prednisolone)
- รับประทานยาปฏิชีวนะ ทำให้ตัวยาไปกำจัดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราชนิดนี้จึงเติบโตมากเกินไป
- รับประทานยาคุมกำเนิด
- น้ำหนักตัวมากเกินไป ทำให้เหงื่อออกเยอะขึ้นและเสื้อผ้าคับขึ้น
สิวเชื้อรา รักษาและป้องกันได้อย่างไรบ้าง
ผลการศึกษาพบว่า ยาต้านเชื้อราไอทราโคนาโซล (Itraconazole) สามารถรักษาสิวยีสต์ได้ดีที่สุด แต่บางคนที่มีทั้งสิวจริง ๆ และสิวเชื้อรา คุณหมออาจสั่งจ่ายยาสเตียรอยด์ชนิดทาและครีมแต้มสิวควบคู่ไปด้วย สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสิวเชื้อราหรือรูขุมขนอักเสบจากเชื้อราด้วยตัวเอง อาจหาซื้อยาสระผมที่มีตัวยาซีลีเนียม ซัลไฟด์ (Selenium Sulfide) เป็นส่วนประกอบ มาทาไว้ประมาณ 10 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือทายาฆ่าเชื้อรา เช่น อีโคนาโซล (Econazole) นอกจากนี้ ยังอาจทาทีทรีออยล์เจือจางบริเวณที่เป็นสิวเชื้อราวันละ 2 ครั้ง หรืออาบน้ำเกลือเพื่อทำให้ผิวแห้งขึ้นและลดอาการติดเชื้อได้
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย