- ใบหน้าเสียรูป จากอาการนูนบวมของผิวหนังที่ติดเชื้ออย่างถาวร
- หย่อนสมรรถภาพทางเพศ รวมทั้งลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และปริมาณน้ำเชื้อ ทำให้อวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว และระบบสืบพันธุ์เสียหายได้
- อาการไตวาย โรคเรื้อนอาจไปทำลายไต จนก่อให้เกิดไตวายได้
- การคัดจมูกเรื้อรัง เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียของโรคไปทำลายเซลล์เนื้อเยื่อภายในจมูก
- ความรู้สึกแสบร้อนบนร่างกาย
สาเหตุ
สาเหตุของโรคเรื้อน
โรคเรื้อน เกิดจากแบคทีเรียไมโคแบคทีเรียม เลพรีซึ่งติดต่อกันได้จากการกระจายของละอองฝอยเมื่อผู้ติดเชื้อไอหรือจาม
อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อแบคทีเรียโรคเรื้อน จะไม่เกิดขึ้นในกรณีต่อไปนี้
- เมื่อจับมือหรือกอดกัน
- เมื่อนั่งติดกับผู้อื่นในระบบขนส่งสาธารณะ
- เมื่อร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน
- เมื่อมีเพศสัมพันธ์
- จากมารดาไปยังทารกในครรภ์
เมื่อไรควรไปพบคุณหมอ
หากพบแผลหรือผื่นบนร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบไปพบคุณหมอ แม้ว่าจะมีผื่นที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก รวมถึงไม่ทำให้รู้สึกเจ็บหรือคันก็ตาม นอกจากนั้น บางครั้งผื่นโรคเรื้อนจะขึ้นในบริเวณที่มองเห็นได้ยาก เช่น แผ่นหลัง สะโพก ทำให้ผู้ป่วยสังเกตไม่เห็น จึงไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
การวินิจฉัยโรคเรื้อน
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
เมื่อไปพบคุณหมอ คุณหมอจะวินิจฉัยอาการของโรคเรื้อน โดยการสังเกตด้วยตาเปล่า เพื่อตรวจดูความผิดปกติบนผิวหนังเช่น วงด่างขาว หรือชมพูซีด ปื้นแดง ผื่น รวมทั้งอาจใช้เข็มจิ้มลงบนผิวหนังเบา ๆ เพื่อตรวจดูว่าผู้ป่วยมีอาการด้านชาเนื่องจากเส้นประสาทถูกทำลายอันเป็นอาการของโรคหรือไม่
นอกจากนี้ หากคุณหมอสงสัยว่าผู้ป่วยอาจเป็นโรคเรื้อน อาจตัดผิวหนังบางส่วนไปตรวจหาเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของโรค
การรักษาโรคเรื้อน
โรคเรื้อนรักษาให้หายได้ โดยเฉพาะอาการทางผิวหนัง โดยปกติ การรักษาโรคเรื้อนจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค โดยคุณหมอจะให้ผู้ป่วยรับประทานยาปฏิชีวนะ 2-3 ชนิดร่วมกัน หรือมากกว่านั้น เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และป้องกันไม่ให้อาการของโรคแย่ลง โดยยากลุ่มที่ใช้รักษาโรคเรื้อน ประกอบด้วย
- แดพโซน (Dapsone)
- ไรแฟมพิซิน (Rifampin)
- โคลฟาซิมีน (Clofazimine)
- ทาลิโดไมด์ (Thalidomide)
- เพรดนิโซโลน (Prednisolone)
ทั้งนี้ การใช้ยาหลายขนานยังป้องกันการดื้อยาเนื่องจากการใช้ยาในระยะยาวด้วย
อย่างไรก็ตาม ยาปฏิชีวนะไม่สามารถรักษาความเสียหายของเส้นประสาทหรือการเสียรูปของใบหน้าได้ ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรรีบพบคุณหมอตั้งแต่เนิ่น ๆ หรือในระยะแรก ๆ ของการเกิดโรคเรื้อน
การปรับพฤติกรรมและการดูแลตัวเอง
โรคเรื้อนมีอัตราการติดต่อกันของโรคต่ำ สามารถดูแลตัวเองเพื่อให้ห่างไกลโรคเรื้อน ดังนี้
- หลีกเลี่ยงสัมผัสผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการรักษา โดยเฉพาะเมื่อร่างกายมีบาดแผล เนื่องจากเป็นช่องทางแพร่เชื้อของโรค หากต้องติดต่อกับผู้ป่วยโรคเรื้อนควรสวมหน้ากากอนามัยป้องกัน เพราะหากผู้ป่วย ไอ จาม อาจแพร่กระจายเชื้อได้
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับผู้ป่วยซึ่งยังไม่ได้รับการรักษา โดยผู้ที่อาศัยอยู่กับผู้ป่วยมีแนวโน้มติดเชื้อมากกว่าคนทั่วไปถึง 8 เท่า ทั้งนี้ ยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษา สามารถป้องกันผู้ป่วยไม่ให้แพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย