การทดสอบนี้ในบางกรณีใช้ทดสอบควบคู่กับการอัลตราซาวด์ตับ เพื่อตรวจหามะเร็งตับในระยะเริ่มต้นในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง โดยคุณหมอจะเก็บตัวอย่างโปรตีนอัลฟา-ฟิโต (Alpha Fetoprotein: AFP) ไปทดสอบในห้องทดลอง ซึ่งเป็นโปรตีนที่จะถูกสร้างจากตับในตัวอ่อนขณะอยู่ในครรภ์มารดา และลดลงเมื่อคลอดออกมา แต่หากตับได้รับการบาดเจ็บ หรือเกิดมะเร็งขึ้น จะทำให้ระดับค่า AFP เพิ่มขึ้น
การตรวจวินิจฉัยเต้านมด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Breast MRI)
การทดสอบนี้มักใช้ตรวจหามะเร็งเต้านมในผู้หญิงที่มีการกลายพันธุ์ที่เป็นอันตรายในยีน BRCA1 หรือยีน BRCA2 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงเป็นมะเร็งเต้านม โดยคุณหมออาจให้ยาระงับประสาทอ่อน ๆ จากนั้นฉีดสีย้อมผ่านทางเส้นเลือดเพื่อทำให้มองเห็นเนื้อเยื่อหรือหลอดเลือดได้ง่ายขึ้นเมื่อทำการตรวจด้วย MRI ระหว่างการตรวจ MRI คุณหมอจะให้นอนคว่ำหน้าบนโต๊ะสแกนที่มีเบาะรอง หน้าอกจะพอดีกับโพรงกลวงในโต๊ะซึ่งมีขดลวดที่ตรวจจับสัญญาณแม่เหล็กจากเครื่อง MRI จากนั้นทั้งโต๊ะจะเลื่อนเข้าไปในช่องเปิดของเครื่องเพื่อเริ่มการตรวจ
การตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเทคโนโลยีซีทีสแกน (Virtual colonoscopy)
การทดสอบนี้ช่วยให้ตรวจลำไส้ใหญ่และทวารหนักจากภายนอกร่างกายได้ เพื่อตรวจหาปัญหาที่อาจพัฒนากลายเป็นมะเร็งจากนอกลำไส้ใหญ่ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลอีกครั้ง ซึ่งวิธีตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเทคโนโลยีซีทีสแกน จะสร้างภาพตัดขวางของอวัยวะในช่องท้องจำนวนหลายรูป จากนั้นรูปจะถูกรวมกันและจัดการแบบดิจิทัลเพื่อให้มองเห็นรายละเอียดด้านในของลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
การตรวจผิวหนัง
การตรวจดูความผิดปกติของผิวหนัง เช่น ไฝที่เปลี่ยนแปลง มีสีแดง มีอาการเจ็บปวด หรือไฝขยายใหญ่ขึ้น อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งผิวหนังได้ คุณหมอมักแนะนำให้ผู้ที่เสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังตรวจผิวหนังเป็นประจำ
อัลตราซาวนด์ทางช่องคลอด
เป็นการทดสอบเพื่อฉายภาพรังไข่และมดลูก มักใช้ในผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูงเป็นมะเร็งรังไข่หรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
แอนติเจนต่อมลูกหมาก (Prostate-Specific Antigen: PSA)
เป็นการตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมากเพื่อตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากในระยะเริ่มแรก มักทำควบคู่ไปกับการตรวจทางทวารหนัก อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญไม่แนะนำให้ผู้ชายส่วนใหญ่ทำการทดสอบ PSA เป็นประจำ เนื่องจากมะเร็งต่อมลูกหมากหลายชนิดที่ตรวจพบด้วยการทดสอบ PSA ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
คำแนะนำสำหรับการตรวจมะเร็ง
เพื่อป้องกันการเกิดมะเร็ง ควรเข้ารับการตรวจหามะเร็งตั้งแต่เนิ่น ๆ ดังนี้
- มะเร็งปากมดลูก ควรเริ่มเข้ารับการตรวจตั้งแต่อายุ 25-65 ปี และควรได้รับการตรวจเชื้อไวรัส HPV ทุก ๆ 5 ปี หรือการตรวจ Pap test ทุก ๆ 3 ปี สำหรับผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป หากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำและไม่พบความผิดปกติ อาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจอีก
- มะเร็งเต้านม หากเต้านมมีก้อนเนื้อใต้ผิวหนัง หรือลักษณะของเต้านมเปลี่ยนไป ควรรีบเข้ารับการตรวจหามะเร็งเต้านมทันที ผู้หญิงอายุ 40-54 ปีควรเริ่มการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ด้วยแมมโมแกรม แต่หากเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 55 ปี ควรรับการตรวจแมมโมแกรมทุก ๆ 1 หรือ 2 ปี
- มะเร็งลำไส้ใหญ่ ควรเริ่มต้นการตรวจเมื่อายุ 45 ปี แต่หากอายุน้อยกว่าให้ประเมินความเสี่ยงของตนเอง หากมีความเสี่ยง เช่น ประวัติครอบครัวที่เคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ พันธุกรรม การขับถ่าย หรืออื่น ๆ ควรเข้ารับการทดสอบทันที ควรทำการทดสอบจนถึงอายุ 75 ปี ส่วนผู้ที่มีอายุ 76-85 ปีควรปรึกษาคุณหมอเพื่อรับคำแนะนำข้อดีและข้อเสียก่อนตรวจ และผู้ที่มีอายุมากกว่า 85 ปี ไม่ควรได้รับการตรวจคัดกรองอีกเพราะอาจเสี่ยงต่อสุขภาพได้
- มะเร็งต่อมลูกหมาก ผู้ชายที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น คนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ควรเข้ารับการตรวจมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นประจำทุกปี หากเริ่มเข้ารับการตรวจตั้งแต่อายุ 50 ปี และมีความเสี่ยงสูง เช่น พันธุกรรม ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อขอรับการตรวจและการรักษาเพิ่มเติม
- มะเร็งปอด หากผู้ป่วยอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับประวัติการสูบบุหรี่และควรเข้ารับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำเป็นประจำทุกปีเพื่อตรวจหามะเร็งปอดระยะเริ่มต้น
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย