backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก

สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย สิฏฐิณิศา รัชตวโรทัย


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 10/01/2022

สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง

มะเร็ง เป็นโรคร้ายแรงอันดับต้น ๆ อีกหนึ่งโรคที่ส่งผลให้ผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก โดยมีสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละประเภท ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกาย สัญญาณเตือนแรกของมะเร็งอาจสังเกตได้จากอาการไอเรื้อรัง ไข้ขึ้น เหงื่อออกมากโดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืน เหนื่อยล้า รับประทานอาหารลำบาก อาหารไม่ย่อย มีก้อนแข็งใต้ผิวหนัง

โรคมะเร็ง คืออะไร

โรคมะเร็ง คือ โรคที่เกิดจากเซลล์ในร่างกายพัฒนาผิดปกติ และเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จนอาจกลายเป็นเนื้องอก เนื้อร้าย และเซลล์มะเร็งอาจลุกลามแพร่กระจายทำลายเนื้อเยื่อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย นอกจากนี้ยังอาจส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่น คลื่นไส้ ท้องร่วง ท้องผูก น้ำหนักลด เหนื่อยล้า หายใจลำบาก สารเคมีในร่างกายไม่สมดุล โรคหลอดเลือดสมอง ปวดศีรษะ ชัก

สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง

สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งแต่ละชนิดอาจแตกต่างกันออกไป ดังนี้

1. มะเร็งลำไส้ใหญ่ อาจไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่อาจเกิดจากเซลล์ในลำไส้ใหญ่เกิดความผิดปกติทำให้มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่จะควบคุมได้ จนพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็ง และอาจก่อตัวเป็นเนื้องอกหรือเนื้อร้าย ทั้งยังอาจทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ และแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย มะเร็งชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่อาจพบได้มากในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้อง เลือดออกทางทวารหนักและปะปนกับอุจจาระ ท้องร่วง ท้องผูก

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ 

  • อายุที่มากขึ้น ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าอายุที่มากขึ้นมีความเชื่อมโยงอย่างไรกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากมะเร็งลำไส้ใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย แต่จากการตรวจคัดกรอง อาจพบได้มากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
  • ครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งลำไส้ที่อาจถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรม
  • ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคลำไส้อักเสบ ลำไส้ใหญ่บวม โรคอ้วน โรคหัวใจ
  • ขาดการออกกำลังกาย
  • รับประทานอาหารไขมันสูง อาหารแปรรูป อาหารที่มีกากใยน้อย
  • การสูบบุหรี่ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • โรคเบาหวาน ผู้ที่เป็นเบาหวาน หรือผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน อาจเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น

2. มะเร็งปอด สาเหตุหลักที่ทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งปอด คือ การสูบบุหรี่ เนื่องจากสารในบุหรี่เต็มไปด้วยสารก่อมะเร็งที่ทำลายเซลล์ เนื้อเยื่อในปอด ผู้ที่สูบบุหรี่ในช่วงแรกร่างกายอาจซ่อมแซมของเนื้อเยื่อปอดเหล่านี้ได้ตามธรรมชาติ แต่หากปล่อยทิ้งไว้เวลานานโดยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เนื้อเยื่ออาจสัมผัสกับสารก่อมะเร็งซ้ำ ๆ จนเซลล์ในปอดได้รับความเสียหายมากขึ้น ส่งผลให้เซลล์ทำงานผิดปกติและก่อให้เกิดเซลล์มะเร็ง ผู้ที่เป็นมะเร็งปอดอาจมีอาการไอ ไอเป็นเลือด เสียงแหบ หายใจถี่ เจ็บหน้าอก ปวดศีรษะ 

อย่างไรก็ตาม มะเร็งปอดอาจเกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่และผู้ที่ไม่ได้สูดดมควันบุหรี่ ในกรณีนี้อาจไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ซึ่งควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งโดยละเอียดจากคุณหมอ

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปอด

  • ครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งปอดที่อาจถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรม
  • การสูบบุหรี่ปริมาณมากและต่อเนื่องเป็นเวลานาน
  • การสูดดมควันบุหรี่ หรือสารก่อมะเร็ง เช่น นิกเกิล แร่ใยหิน ก๊าซเรดอน โครเมียม (Chromium) 
  • การฉายรังสีที่หน้าอกในระหว่างการตรวจหามะเร็งชนิดอื่น

3. มะเร็งตับ อาจเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ในตับมีการเปลี่ยนแปลง เจริญเติบโตรวดเร็วจนควบคุมได้ยาก จนนำไปสู่การก่อตัวเป็นเนื้องอก คนส่วนใหญ่อาจไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้เป็นเวลานานอาจทำให้รู้สึกปวดท้องช่วงบน ท้องบวม เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ผิวหนังและดวงตาเปลี่ยนเป็นสีเหลือง อุจจาระเป็นสีขาว 

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งตับ อาจเกิดจากสภาวะของโรคต่าง ๆ เช่น โรคไขมันพอกตับ โรคเบาหวาน โรคตับแข็ง ภาวะธาตุเหล็กเกิน (Hemochromatosis) โรควิลสัน (Wilson’s disease) รวมถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ไวรัสตับอักเสบซี (HCV) ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งตับได้

4. มะเร็งปากมดลูก มีสาเหตุมาจากเซลล์บริเวณปากมดลูกเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วส่งผลให้สะสมเป็นก้อนแข็งหรือเนื้องอก และพัฒนาเป็นเซลล์มเร็งที่ทำลายเนื้อเยื่อรอบ ๆ ปากมดลูก ผู้ที่เป็นมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มต้นอาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่หากปล่อยไว้เป็นเวลานานอาจมีอาการรุนแรงขึ้น โดยสังเกตได้จากสัญญาณต่าง ๆ เช่น เลือดออกทางช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์ ระหว่างรอบเดือน หรือช่วงวัยหมดประจำเดือน ตกขาวมีเลือดปนและมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ปวดอุ้งเชิงกรานขณะมีเพศสัมพันธ์

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูก

  • การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองในเทียม โรคหนองในแท้ โรคเอดส์ การติดเชื้อเอชพีวี (HPV) โรคซิฟิลิส 
  • มีคู่นอนหลายคน อาจทำให้เสี่ยงต่อการได้รับโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • การสูบบุหรี่
  • การใช้ยาป้องกันการแท้งบุตร เช่น ไดเอทิลสติลเบสทรอล (Diethylstilbestrol)

5. มะเร็งรังไข่ เกิดจากเซลล์ในรังไข่มีการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วจนทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบจนเกิดเป็นเนื้องอกที่เป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งสามารถลุกลามไปที่เนื้อเยื่อในอวัยวะอื่น ๆ ได้ อาการของมะเร็งรังไข่อาจสังเกตได้จาก

  • ท้องบวม 
  • ท้องผูก 
  • ปัสสาวะบ่อย 
  • ปวดหลัง 
  • เหนื่อยล้า 
  • รู้สึกอิ่มเร็ว

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งรังไข่

  • อายุที่มากขึ้น
  • การเปลี่ยนแปลงของยีนที่สืบทอดมาจากพันธุกรรมของคนในครอบครัว
  • ครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งรังไข่
  • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่
  • ไม่เคยตั้งครรภ์
  • การรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัดสำหรับสตรีช่วงวัยหมดประจำเดือน
  • มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน เพราะการมีน้ำหนักเกินอาจเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งรังไข่
  • ผู้ที่ที่เริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่อายุยังน้อย หรือถึงวัยหมดประจำเดือนเร็วกว่าปกติ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่ได้

6. มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นมะเร็งอีกชนิดที่พบได้บ่อย เกิดจากเซลล์ในต่อมลูกมากเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนสะสมให้เกิดเป็นเซลล์มะเร็ง หากมีอาการปัสสาวะลำบาก มีเลือดปะปนในปัสสาวะและอสุจิ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ปวดกระดูกควรเข้ารับการรักษาทันที

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมาก

  • อายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี 
  • ครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก เพราะอาจส่งผ่านทางพันธุกรรมไปสู่บุตรหลานได้
  • ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน

7. มะเร็งเต้านม สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย แต่อาจพบได้บ่อยในผู้หญิง มีสาเหตุมาจากการที่เซลล์ในร่างกายแบ่งตัวอย่างรวดเร็วจนก่อให้เกิดเป็นเนื้องอก และเซลล์มะเร็ง ซึ่งอาจแพร่กระจายไปยังบริเวณต่อมน้ำเหลืองและส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ โดยสังเกตได้จากก้อนเนื้อบริเวณเต้านม เต้านมขยาย หัวนมพลิกหรือบุ๋มเข้าไปด้านใน สีผิวรอบเต้านมเปลี่ยนแปลง

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งเต้านม

  • เพศหญิง เนื่องจากมีแนวโน้มที่เสี่ยงเป็นมะเร็งบ่อยกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีจำนวนเซลล์เต้านมมากกว่า เมื่อเซลล์เจริญเติบโตผิดปกติจึงอาจก่อให้เกิดเซลล์มะเร็ง
  • อายุที่มากขึ้น
  • ครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม และการกลายพันธุ์ของยีนที่ได้รับผ่านทางพันธุกรรม
  • ปัญหาเกี่ยวกับเต้านม เช่น เคยเป็นมะเร็งเต้านมข้างเดียวมาก่อน มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
  • การฉายรังสีบริเวณหน้าอกตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก
  • ไม่เคยตั้งครรภ์
  • มีบุตรในช่วงอายุมาก 
  • วัยหมดประจำเดือน และได้รับการบำบัดด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนร่วมกับฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงวัยหมดประจำเดือน
  • โรคอ้วน
  • มีประจำเดือนก่อนอายุ 12 ปี อาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านม
  • เริ่มหมดประจำเดือนในช่วงอายุที่มาก อาจส่งผลให้มีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งเต้านมได้

8. มะเร็งผิวหนัง เกิดจากเซลล์บนผิวหนังเจริญเติบโตผิดปกติ โดยอาจถูกกระตุ้นจากแสงแดด สารเคมี สารพิษ จนพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับผิวหนังทั่วทั้งร่างกาย เช่น หนังศีรษะ มือ ใบหน้า ริมฝีปาก คอ หู แขน หน้าอก ขา ส่งผลทำให้สีผิวคล้ำ มีก้อนเนื้อสีแดง ผิวหนังเป็นแผลและสะเก็ด รู้สึกแสบร้อนผิว อาการคัน

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งผิวหนัง

  • ผิวหนังสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานาน
  • ครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งผิวหนัง
  • ผู้ที่มีภาวะผื่นแอกทินิกเคอราโทซิส (Actinic Keratosis) คือ ภาวะก่อนเป็นมะเร็งที่เกิดจากการถูกทำลายเซลล์ผิวหนังส่งผลให้เกิดผื่น ผิวเป็นขุย
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • การสัมผัสกับรังสีที่ใช้รักษาปัญหาผิว เช่น กลาก สิว 
  • สัมผัสกับสารอันตราย เช่น สารหนู

9. มะเร็งเม็ดเลือดขาว แม้จยังไม่อาจทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว แต่คาดว่าอาจมาจากการพัฒนาร่วมกับการกลายพันธุ์ของยีนที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีไขกระดูกคอยสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติออกมาจำนวนมาก อาการของมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่พบได้บ่อย อาจสังเกตได้จาก

  • ต่อมน้ำเหลืองโต 
  • มีไข้ 
  • หนาวสั่น 
  • อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง 
  • ปวดกระดูก 
  • น้ำหนัดลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ 
  • เลือดออกและฟกช้ำง่าย 
  • จุดแดงบนผิวหนัง 
  • เหงื่อออกมากช่วงเวลากลางคืน

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งเม็ดเลือดขาว

  • ความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น อาการดาวน์ซินโดรม 
  • การสัมผัสกับสารเคมี เช่น สูบบุหรี่ เบนซินที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม 
  • ครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • มีประวัติการรักษามะเร็งก่อนหน้านี้ด้วยเคมีบำบัด การฉายรังสี

10. มะเร็งต่อมไทรอยด์ พบได้บ่อยในช่วงอายุ 30-60 ปี โดยผู้หญิงอาจมีแนวโน้มเป็นมากกว่าผู้ชาย 2-3 เท่า ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของยีนที่ทำให้เซลล์เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นเนื้องอกและทำลายเนื้อเยื่อรอบ ๆ ในระยะแรกอาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่เมื่อก้อนเนื้อเริ่มโตขึ้นอาจทำให้รู้สึกกลืนอาหารลำบาก เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต และมีก้อนที่คอ ซึ่งอาจสัมผัสได้ผ่านทางผิวหนังด้านนอก

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งต่อมไทรอยด์

  • การสัมผัสกับรังสีที่ใช้ในรักษาบริเวณศีรษะ และคอมาก่อน
  • สภาวะของโรค เช่น เนื้องอกบริเวณต่อมไร้ท่อ กลุ่มอาการคาวเดน (Cowden’s Syndrome) โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิดถ่ายทอดทางพันธุกรรม (Familial Adenomatous Polyposis) โรคอ้วน โรคอะโครเมกาลี (Acromegaly)
  • อายุและเพศ ถึงแม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ผู้หญิงอาจมีแนวโน้มเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์มากกว่าผู้ชายมากกว่า 3 เท่า ส่วนใหญ่อาจเกิดขึ้นตั้งแต่อายุ 40-50 ปี

วิธีดูแลตัวเองเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง

วิธีดูแลตัวเองเพื่อป้องกัน และลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง อาจทำได้ดังนี้

  • รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ควรเลือกอาหารที่อุดมด้วยผัก ผลไม้ โปรตีนที่มีไขมันต่ำ ธัญพืชไม่ขัดสี และจำกัดการบริโภคอาหารแปรรูป
  • ควบคุมน้ำหนัก เพราะหากน้ำหนักมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้ และออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที 
  • หลีกเลี่ยงการตากแดดมากเกินไป เนื่องจากรังสียูวีอาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง ควรหมั่นทาครีมกันแดด หรือสวมใส่เสื้อผ้าที่ช่วยป้องกันแสงแดด
  • เลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากสารในบุหรี่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งปอดรวมถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ 
  • ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่จำกัด สำหรับผู้หญิงควรบริโภควันละ 1 แก้ว ส่วนผู้ชายควรบริโภควันละ 2 แก้ว หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง
  • ควรตรวจคัดกรองมะเร็งเป็นประจำ โดยขอคำปรึกษาจากคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยด้วยวิธีที่เหมาะสม
  • ฉีดวัคซีนตามกำหนด เนื่องจากไวรัสบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปากมดลูก การฉีดวัคซีนจึงอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ต่อสู้กับไวรัสและช่วยลดความเสี่ยงนี้ 

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด



ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

สิฏฐิณิศา รัชตวโรทัย


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 10/01/2022

ad iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา