พัฒนาการทารกในครรภ์ สัปดาห์ที่ 18 เริ่มขยายใหญ่ขึ้น โดยมักมีขนาดตัวเท่ากับพริกหยวก หนักประมาณ 200 กรัม และยาวประมาณ 14 เซนติเมตร โดยวัดจากศีรษะถึงปลายเท้า คุณแม่อาจรู้สึกได้ว่าลูกดิ้น หาวหรือแม้แต่กำลังสะอึก ซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสัญญาณที่ดีสะท้อนพัฒนาการต่าง ๆ ว่าลูกน้อยกำลังเติบโตอย่างแข็งแรง
[embed-health-tool-due-date]
พัฒนาการทารกในครรภ์ สัปดาห์ที่ 18
ลูกจะเติบโตอย่างไร
สำหรับพัฒนาการทารกในครรภ์ สัปดาห์ที่ 18 ทารกในครรภ์จะมีขนาดตัวเท่ากับพริกหยวก โดยมีหนักประมาณ 200 กรัม และสูงประมาณ 14 เซนติเมตร โดยวัดจากศีรษะถึงปลายเท้า
ลูกน้อยเริ่มเคลื่อนไหวมากขึ้น อาจรู้สึกถึงการกลิ้งไปกลิ้งมา บิดตัว และเตะเท้า รวมถึงอาจรู้สึกได้ว่าลูกน้อยกำลังหาวหรือแม้แต่กำลังสะอึก ซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งบ่งบอกว่าลูกน้อยกำลังเติบโตอย่างแข็งแรง
หูของทารกในครรภ์สามารถฟังเสียงได้แล้ว คุณแม่ควรเริ่มสานสัมพันธ์กับลูกน้อย ด้วยการพูดคุย หรือร้องเพลงให้ลูกฟัง เพราะลูกจะรู้สึกสบายใจและอุ่นใจขึ้นเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ควรหลีกเลี่ยงเสียงดัง หากคุณแม่ใช้เครื่องช่วยฟังก็จะสามารถฟังเสียงหัวใจเต้นของทารกน้อยในครรภ์ได้ชัดเจน
นอกจากนี้ ทารกในครรภ์อาจจะยังเปิดเปลือกตาไม่ได้ แต่ก็สามารถเคลื่อนไหวดวงตาได้เล็กน้อย เพื่อตอบสนองต่อแสงได้บ้างแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและรูปแบบการใช้ชีวิต
ร่างกายจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
เมื่อหน้าท้องเริ่มขยายใหญ่ขึ้น อาการปวดหลังก็จะยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากจุดศูนย์ถ่วงเกิดความเปลี่ยนแปลง ทำให้หลังช่วงล่างแบกรับน้ำหนักเอาไว้มากขึ้น อีกเหตุผลนึงก็คือ ฮอร์โมนการตั้งครรภ์ทำให้กระดูกเชิงกรานขยาย สามารถป้องกัน หรือบรรเทาอาการปวดหลังในขณะตั้งครรภ์ได้ด้วยเคล็ดลับเหล่านี้
- หลีกเลี่ยงการนั่งนาน ๆ ไม่ควรนั่งอยู่กับที่นานเกิน 1 ชั่วโมง ควรลุกเปลี่ยนอิริยาบถ หรือยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อและข้อต่อเกร็งตึงจนเกินไป และให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น หากจำเป็นต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน ควรหาเก้าอี้เตี้ยๆ หรือลังกระดาษที่สามารถรับน้ำหนักได้ มาวางไว้ใต้โต๊ะทำงาน แล้วนั่งเอาขาพาดไว้ เพื่อช่วยลดแรงกดบริเวณหลัง
- หลีกเลี่ยงการยืนนาน ๆ หากคุณแม่ตั้งครรภ์ต้องยืนล้างชามหรือทำอาหารอยู่ในครัว ควรสวมรองเท้าใส่ในบ้าน หรือยืนบนผ้าหรือพรมหนา ๆ เพื่อช่วยลดแรงกดบนร่างกายและบริเวณหลัง
- หลีกเลี่ยงการก้มหรือแบกของหนัก หากเลี่ยงไม่ได้ ควรใช้ท่ายกของที่ถูกต้อง นั่นคือ ยืนแยกขาให้ได้ความกว้างเท่ากับไหล่ เพื่อจะได้ทรงตัวได้ดีขึ้น จากนั้นจึงค่อย ๆ ย่อเข่าลงแทนการก้มตัวแบบขาตรง แล้วค่อยยกของขึ้น หรือหากต้องหิ้วถุงใส่ของ ควรเฉลี่ยน้ำหนักของทั้งสองข้างให้เท่ากันด้วย
ข้อควรระวังสำหรับพัฒนาการทารกในครรภ์ สัปดาห์ที่ 18
บางครั้งคุณแม่ตั้งครรภ์อาจรู้สึกอยากกินอาหารรสเผ็ด ๆ หรือรสจัด ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวัง เพราะอาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกหรือกรดไหลย้อนได้ เนื่องจากในช่วงตั้งครรภ์ ระบบย่อยอาหารจะทำงานได้ไม่ค่อยดี ฮอร์โมนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ความสามารถในการเผาผลาญอาหารลดลง รวมถึงการหดตัวของกล้ามเนื้อในกระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานได้ไม่เป็นปกติ จึงทำให้ย่อยอาหารที่ย่อยยาก ๆ ได้ช้าลง จึงควรแบ่งอาหารออกเป็นมื้อเล็ก ๆ แล้วรับประทานให้บ่อยขึ้นตลอดทั้งวัน วิธีนี้จะช่วยป้องกันอาการแสบร้อนกลางอกได้
การพบหมอ
ควรปรึกษาแพทย์อย่างไรบ้าง
อีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นเนื่องจากฮอร์โมนการตั้งครรภ์ ก็คือ ปัญหาเกี่ยวกับดวงตา คุณแม่ตั้งครรภ์อาจมองเห็นจุด หรืออะไรลอยไปลอยมา รวมถึงมองเห็นภาพพร่ามัว และดวงตาแห้ง เนื่องจากร่างกายผลิตน้ำตาน้อยลง ซึ่งถือว่าเป็นอาการที่พบได้ในผู้หญิงท้องส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม หากปัญหาดวงตารบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หรือแย่ลง โดยเฉพาะปัญหาตาพร่ามัว ควรปรึกษาคุณหมอทันที เพราะการมองเห็นภาพพร่ามัว อาจเป็นสัญญาณของการเกิดปัญหาของเหลวตกค้าง ซึ่งเป็นอาการที่ควรได้รับการรักษา
นอกจากนี้โรคเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ และโรคความดันโลหิตสูง ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เห็นภาพพร่ามัวได้เช่นกัน
การทดสอบที่ควรรู้
ในสัปดาห์นี้ คุณหมออาจแนะนำให้ทำอัลตร้าซาวด์ในไตรมาสที่สอง หรือที่เรียกว่าอัลตร้าซาวด์ระดับ 2 ซึ่งเป็นการอัลตร้าซาวด์ตรวจดูอวัยวะส่วนต่าง ๆ และนิยมทำในช่วงที่มีอายุครรภ์ตั้ง 18 ถึง 22 สัปดาห์ การอัลตร้าซาวด์ในไตรมาสที่สองไม่ว่าจะเป็นแบบ 3-D หรือ 4-D จะช่วยให้มองเห็นพัฒนาการของทารกได้อย่างชัดเจนขึ้น ทั้งยังอาจมองเห็นภาพลูกน้อย หรือภาพวิดีโอในขณะที่เขาเคลื่อนไหวได้อย่างสมจริงด้วย
รายละเอียดที่มีมากขึ้นจากการทำอัลตร้าซาวด์ระดับ 2 นั้นจะช่วยให้สามารถวัดขนาดตัวและอวัยวะต่างๆ รวมทั้งวัดปริมาณน้ำคร่ำ และประเมินตำแหน่งของรกได้ เพื่อให้แน่ใจว่าลูกน้อยมีเลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ อย่างเพียงพอ
สุขภาพและความปลอดภัย
ควรทำอย่างไรเพื่อให้สุขภาพดีและปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์
- สารอันตรายในอาหารทะเล
ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ถือเป็นปลาอุดมไปด้วยไขมันดีอย่างโอเมก้า 3 ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคปลาและอาหารทะเลอื่น ๆ ในปริมาณที่เหมาะสม
เพราะถึงแม้อาหารทะเลจะมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็อาจมีสารพิษเจือปน เช่น ไดออกซิน ปรอท ยาฆ่าแมลง หากคุณแม่ตั้งครรภ์ได้รับสารพิษเหล่านี้มากเกินไป ก็อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ โดยปลาทะเลที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น ปลาอินทรีย์ ปลาฉนาก และปลาไทล์ (Tilefish)
- อาการหมดแรง
หากปัญหาในการหายใจหรือรู้สึกเหนื่อยง่าย ควรหยุดพักจากการทำกิจกรรมที่ทำอยู่ ไม่ควรออกกำลังกายหักโหม หรือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากเกินกำลังของตัวเอง เพราะจะทำให้ทั้งตนเองและลูกน้อยรู้สึกเหนื่อยล้า หมดแรง และส่งผลเสียต่อสุขภาพ
เพราะคุณแม่ตั้งครรภ์ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้เหมือนในช่วงก่อนตั้งครรภ์ หากต้องทำงานหรือทำกิจกรรมใดนาน ๆ ก็ควรพักช่วงสั้น ๆ เป็นระยะ
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ทำงานประจำ หากรู้สึกอ่อนเพลียจนทนไม่ไหว ควรลางานเพื่อพักฟื้น และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรฝืนไปทำงาน