เด็กออทิสติก เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของพัฒนาการ ซึ่งอาจอาจเกิดปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม การติดเชื้อไวรัส การคลอดก่อนกำหนด ซึ่งสามารถสังเกตสัญญาณเตือนได้จากลักษณะการพูด การตอบสนองช้า ชอบเล่นคนเดียว บางคนอาจก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย คุณพ่อคุณแม่ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคออทิสติกและขอคำปรึกษาจากคุณหมอ เพื่อรับคำแนะนำวิธีดูแลลูกอย่างถูกต้อง
โรคออทิสติก คืออะไร
โรคออทิสติก คือ โรคเกี่ยวกับความผิดปกติของพัฒนาการเด็ก เช่น พัฒนาการด้านภาษา การสื่อสาร การเข้าสังคม ที่อาจมีพัฒนาการช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน อาจมีพฤติกรรมทำบางสิ่งบางอย่างซ้ำ ๆ เป็นกิจวัตร และอาจมีปัญหาในการทำความเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของคนรอบข้าง แต่ยังคงมีความรู้สึกรัก ชอบ หรือไม่ชอบตามปกติ มักพบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง
สาเหตุที่ทำให้เป็นเด็กออทิสติก
สาเหตุที่ทำให้เด็กเป็นออทิสติกยังไม่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าอาจมาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
- พันธุกรรม โรคออทิสติกอาจมีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น กลุ่มอาการเรตต์ (Rett syndrome) ซึ่งเป็นความผิดปกติของระบบประสาทที่ส่งผลให้มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว การพูดสื่อสาร และกลุ่มอาการโครโมโซมเอ็กซ์เปราะบาง (Fragile X syndrome) ส่งผลให้เด็กมีความบกพร่องทางสติปัญญา พัฒนาการการพูด การเรียนรู้ล่าช้า นำไปสู่การเพิ่มความเสี่ยงทำให้เด็กมีโอกาสเป็นโรคออทิสติก
- การไม่ได้รับวัคซีนตามกำหนด การฉีดวัคซีนควรเริ่มตั้งแต่เด็กวัยแรกเกิด เพราะอาจช่วยลดความเสี่ยงเป็นออทิสติกจากการติดเชื้อไวรัสที่ส่งผลให้พัฒนาการทางสมองและพฤติกรรมผิดปกติ ซึ่งวัคซีนสำหรับเด็ก ได้แก่ วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี โรคคอตีบ บาดทะยัก ไข้หวัดใหญ่ คางทูม หัดเยอรมัน ไอกรน โปลิโอ โรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมคอคคัส เชื้อเอชพีวี (HPV) โรคฮิบ (Haemophilus influenzaetype B) ไวรัสโรตา (Rotavirus)
- การได้รับยาตั้งแต่ในครรภ์ ยาบางชนิดเช่น ยากันชัก valproic acid และ ยากดภูมิคุ้มกัน thalidomide ถ้าคุณแม่ได้รับขณะตั้งครรภ์ก็เพิ่มความเสี่ยงให้ลูกต่อการเป็นออทิสติก
- สภาพแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ สารเคมี สารพิษ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคออทิสติกได้ อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมถึงจะทราบแน่ชัดว่าปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการเกิดโรคออทิสติกได้อย่างไร
สัญญาณเตือนของโรคออทิสติกในเด็ก
หากลูกไม่มีการตอบสนองด้วยการยิ้มภายใน 6 เดือน การแสดงสีหน้าหรือการส่งเสียงภายใน 9 เดือน โบกมือ หรือชี้บอกความต้องการภายใน 14 เดือน ควรเข้าพบคุณหมอในทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของพัฒนาการล่าช้า มีแนวโน้มเสี่ยงเป็นเด็กออทิสติก
นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจสังเกตสัญญาณเตือนของโรคออทิสติกได้จากอาการและพฤติกรรม ดังต่อไปนี้
ด้านการสื่อสาร
- ไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่คนรอบข้างพูด
- ไม่ชอบให้สัมผัสโดนร่างกาย
- ชอบเล่นคนเดียว อยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง
- ไม่แสดงสีหน้า และหลีกเลี่ยงการสบสายตากับผู้พูด
- พูดคำซ้ำ ๆ พูดด้วยน้ำเสียงผิดปกติ คล้ายกับหุ่นยนต์
- สื่อสารกับผู้อื่นไม่เข้าใจ
ด้านพฤติกรรม
- ชอบก่อกวน ซุกซน บางคนอาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว
- มีการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ เช่น กระโดด หมุนตัว สะบัดมือ
- อาจทำร้ายตัวเองและผู้อื่นในบางครั้ง เช่น กัด ตบหัว ตบหน้า
- มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ เดินไม่ถนัด
- ใช้ภาษากายสื่อสารแปลก ๆ ไม่เลียนแบบพฤติกรรมที่เห็น เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ เช่น การโบกมือลา สวัสดี
- หงุดหงิดง่าย โดยเฉพาะเวลาเผชิญกับสิ่งที่ไม่ชอบ หรือเมื่อกิจวัตรประจำวันเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ
วิธีดูแลเด็กออทิสติก
วิธีดูแลเด็กออทิสติก อาจสามารถทำได้ดังนี้
สร้างพลังบวกให้ลูก
สร้างพลังบวกให้แก่ลูกด้วยการชมเชยเมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ดี หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่น และอาจให้รางวัลเล็กน้อย เช่น แปะสติกเกอร์ ปั๊มดาว
ให้ลูกทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ
ให้ลูกทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ เพื่อให้ลูกอารมณ์ดี รวมถึงทำกิจกรรมร่วมกับลูก เพื่อให้ลูกเปิดใจให้กับคนในครอบครัวมากขึ้น
สอนให้ลูกใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ
พาลูกไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ เช่น พาไปเลือกซื้อของ พาไปเดินเล่น เพื่อให้ลูกคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม และอาจช่วยลดความกลัวหรือความหวาดระแวงลง
ให้ลูกเข้ารับการบำบัด
ให้ลูกเข้ารับการบำบัดโดยคุณหมอ เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสาร พฤติกรรม จิตใจ อารมณ์ ด้วยเทคนิคต่าง ๆได้แก่
- ฝึกการพูด (Speech Therapy) เพื่อกระตุ้นให้ลูกมีการสื่อสารมากขึ้น เช่น เอาของเล่นไปซ่อนเพื่อให้ลูกถามหา พูดคุยโต้ตอบกับลูก โดยคุณหมออาจจำเป็นต้องขอความร่วมมือผู้ปกครองให้ช่วยฝึกลูกขณะอยู่ที่บ้านด้วย
- กิจกรรมบำบัด (Occupational Therapy) เป็นการฝึกทักษะการคิดและช่วยเพิ่มพัฒนากล้ามเนื้อของลูกให้มีการทำงานได้ดีมากขึ้น เพื่อช่วยให้ลูกสามารถเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว โดยวิธีปฏิบัติอาจแตกต่างกัน คุณหมออาจพิจารณาจากปัญหาในเด็กแต่ละบุคคล
- ฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคม (Social Rehabilitation) เป็นการฝึกฝนทักษะที่ใช้ในชีวิตประวัน โดยอาจจำลองเหตุการณ์ในสังคม เพื่อให้เด็กเข้าใจแต่ละสถานการณ์มากขึ้น และได้มีโอกาสโต้ตอบกับบุคคลอื่น ๆ การบำบัดนี้อาจช่วยให้ลูกดูแลตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่
- ฟื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพ (Vocational Rehabilitation) เป็นการฝึกทักษะต่าง ๆ ที่เด็กโตจำเป็นต้องใช้เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยทำงาน เช่น การตรงต่อเวลา ความรับผิดชอบในหน้าที่ การปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน เพื่อการประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวเองได้ในอนาคต
[embed-health-tool-vaccination-tool]