ข้อบ่งใช้
ยาไกลคลาไซด์ใช้สำหรับ
ยาไกลคลาไซด์ (Gliclazide) ใช้ร่วมกับการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายเพื่อควบคุมภาวะน้ำตาลในเลือดสูงสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดไม่ต้องพึ่งพาอินซูลิน (non-insulin dependent diabetic patients) การควบคุมภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจะช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต ปัญหาเกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือด และอาการตาบอด
วิธีการใช้ยาไกลคลาไซด์
ยาไกลคลาไซด์มาในรูปแบบยาเม็ดประเภทต่างๆ ที่จะให้ขนาดยาแตกต่างกัน อย่าสับเปลี่ยนรูปแบบหรือยี่ห้อของยาไกลคลาไซด์นอกเสียจากแพทย์จะสั่งให้ทำเช่นนั้น
รับประทานยาไกลคลาไซด์พร้อมกับอาหารเช้าหรืออาหารมื้อแรกของวันตามที่แพทย์กำหนด โดยปกติคือวันละครั้ง ผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยาในขนาดสูง แพททย์อาจสั่งให้ใช้ยาวันละสองครั้ง ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์และการตอบสนองต่อการรักษา
เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง แพทย์อาจสั่งให้คุณเริ่มใช้ยาไกลคลาไซด์ในขนาดต่ำแล้วค่อยๆ เพิ่มขนาดยา ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
หากคุณกำลังใช้ยาต้านเบาหวานอื่นอยู่ก่อนแล้ว เช่น ยาคลอร์โพรพาไมด์ (chlorpropamide) ควรหยุดใช้ยาเก่าและเริ่มใช้ยาไกลคลาไซด์ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างระมัดระวัง
หากคุณกำลังใช้ยาโคลเซเวแลม (colesevelam) ควรรับประทานยาไกลคลาไซด์อย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนใช้ยาโคลเซเวแลม
ใช้ยาไกลคลาไซด์เป็นประจำเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากยาสูงสุด เพื่อให้จำง่ายควรใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน
โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการของคุณไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณสูงเกินไปหรือต่ำเกินไป
การเก็บรักษายาไกลคลาไซด์
ยาไกลคลาไซด์ควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงและความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหายหรือเสื่อมสภาพ ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาไกลคลาไซด์บางยี่ห้ออาจมีวิธีเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ และโปรดเก็บยาให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยงเพื่อความปลอดภัย
ไม่ควรทิ้งยาไกลคลาไซด์ลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น หากยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยา ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยสามารถสอบถามข้อมูลวิธีกำจัดยาที่ถูกต้องเพิ่มเติมได้จากเภสัชกร
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาไกลคลาไซด์
ก่อนใช้ยานี้โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหาก
- คุณแพ้ต่อยาไกลคลาไซด์หรือส่วมผสมอื่นๆ ของยานี้ หรือคุณแพ้ต่อยาอื่น
- คุณแพ้ต่อยาในกลุ่มเดียวกัน อย่างยาในกลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (sulphonylureas) แพ้ต่อยาที่เกี่ยวข้องกันอย่างไฮโปไกลซีมิก ซัลโฟนาไมด์ (hypoglycaemic sulphonamides)
- เป็นโรคเบาหวานชนิดพึ่งพาอินซูลิน (insulin-dependant diabetes) หรือเบาหวานชนิดที่ 1
- มีปัญหากับไตหรือตับอย่างรุนแรง
- มีภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานกับภาวะคิโตซิส (ketosis) หรือภาวะเลือดเป็นกรด (acidosis)
- มีภาวะพรีโคม่าจากเบาหวาน (diabetic pre-coma) และภาวะโคม่าจากโรคเบาหวาน (diabetic coma)
- กำลังใช้ยารักษาการติดเชื้อรา
- กำลังให้นมบุตร (อ่านเพิ่มเติมในส่วนการตั้งครรภ์ การให้นมบุตร และการเจริญพันธ์ุ)
- เป็นโรคเบาหวานและกำลังรับการผ่าตัด ผ่านการบาดเจ็บ หรือกำลังติดเชื้ออย่างรุนแรง
- เป็นโรคพอร์ฟิเรีย (porphyria) (โรคทางพันธุกรรมที่มีผลต่อตับหรือไขกระดูก)
ไม่ควรใช้ยานี้เพื่อรักษาโรคเบาหวานในเด็ก
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้
ยาไกลคลาไซด์จัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด C โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
- A = ไม่มีความเสี่ยง
- B = ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C = อาจจะมีความเสี่ยง
- D = มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
- X = ห้ามใช้
- N = ไม่ทราบแน่ชัด
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยาไกลคลาไซด์
ผลข้างเคียงอาจมีดังนี้
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)
ผลข้างเคียงที่พบได้มากที่สุดคือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หากคุณไม่ทำการรักษา อาการเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม สูญเสียการเคลื่อนไหวที่สอดประสาน หรืออาจจะมีอาการโคม่า หากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำนั้นรุนแรงหรือมีอาการเวลานาน แม้ว่าจะสามารถควบคุมอาการได้ชั่วคราวจากการรับประทานน้ำตาล โปรดรับการรักษาในทันที
ความผิดปกติของเลือด
มีการรายงานพบอาการจำนวนเซลล์ในเลือดลดลง เช่น เกล็ดเลือด เซลล์เม็ดเลือดแดง และเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการดังนี้
- ตัวซีด
- เลือดออกเป็นเวลานาน
- มีรอยช้ำ
- เจ็บคอ
- เป็นไข้
- เหนื่อยล้า หายใจลำบาก
- เลือดกำเดาไหล
- มีแผลในปาก หนาวสั่นอย่างรุนแรง
อาการเหล่านี้มักจะหายไปหลังจากหยุดการรักษา
ความผิดปกติของตับ
มีบางรายงานเกี่ยวกับการทำงานของตับผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังและดวงตาเป็นสีเหลือง หากคุณมีอาการนี้ควรติดต่อแพทย์ในทันที อาการจะค่อยๆ หายไปเมื่อหยุดใช้ยา แพทย์จะตัดสินใจว่าเมื่อไหร่ที่คุณควรจะหยุดการรักษา
ผิวหนังผิดปกติ
มีรายงานเกี่ยวกับปฏิกิริยาของผิวหนัง เช่น
- ผดผื่น
- รอยแดง
- คัน
- อาการแองจิโออีดีมา (Angioedema) ซึ่งเป็นอาการเนื้อเยื่อบวมอย่างรวดเร็วในบริเวณเปลือกตา ใบหน้า ริมฝีปาก ปาก ลิ้น ลำคอ เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการหายใจติดขัด
- ปฏฺิกิริยาของผิวหนังต่อแสงแดด
อาการผดผื่นอาจจะทำให้เกิดอาการแผลพุพองหนือผิวลอกที่แพร่กระจาย เช่น กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน (Stevens-Johnson syndrome) ภาวะทีอีเอ็น (toxic epidermal necrolysis) ที่อาจทำให้เสียชีวิต
ความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร
ผลข้างเคียงของการใช้ยา อาจทำให้เกิดความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร ดังนี้
- ปวดท้อง หรือรู้สึกไม่สบายท้อง
- รู้สึกหรือกำลังป่วย
- อาเจียน
- อาหารไม่ย่อย
- ท้องร่วง
- ท้องผูก
ความผิดปกติของดวงตา
การมองเห็นของคุณอาจได้รับผลกระทบเป็นเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้นการรักษา ผลนี้จะขึ้นอยู่กับความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือด
สำหรับยาในกลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย เคยมีการอธิบายถึงกรณีที่มีความเปลี่ยนแปลงของจำนวนเซลล์เม็ดเลือดและอาการอักเสบจากภูมิแพ้ที่บริเวณผนังหลอดเลือด ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia) เคยมีการพบอาการตับบกพร่อง เช่น ดีซ่าน ซึ่งในกรณีส่วนใหญ่มักจะหายไปหลังจากหยุดใช้ยาในกลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย แต่อาจทำไปสู่อาการตับวายที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ในบางกรณี
ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้น อาจไม่ได้เกิดกับทุกคน หรือบางคนอาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากนี้ หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ยาไกลคลาไซด์อาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรด้วยว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง สมุนไพร เป็นต้น และเพื่อความปลอดภัย คุณไม่ควรเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ผลการลดระดับน้ำตาลในเลือดของยาไกลคลาไซด์อาจจะรุนแรงขึ้นและอาจทำให้เกิดสัญญาณของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเมื่อใช้หนึ่งในยาเหล่านี้
- ยาอื่นที่ใช้เพื่อรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เช่น ยาต้านเบาหวานสำหรับรับประทาน ยายับยั้งตัวรับจีแอลพี-1 (GLP-1 receptor inhibitors) หรืออินซูลิน
- ยาปฏิชีวนะ เช่น ซัลโฟนาไมด์ (sulphonamides) คลานิโทรมัยซิน (clarithromycin)
- ยารักษาภาวะความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจล้มเหลว อย่างยาในกลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์ (beta blockers) ยารักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Antiarrhythmics) ยาในกลุ่มเออีซีอินฮิบิเตอร์ (ACE- inhibitors) เช่น แคปโตพริล (captopril) เอนาลาพริล (enalapril)
- ยารักษาการติดเชื้อรา เช่นไมโคนาโซล (miconazole) ฟลูโคนาโซล (fluconazole)
- ยารักษาแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น อย่าง เอช2 แอนตาโกนิสต์ (H2 receptor antagonists)
- ยารักษาโรคซึมเศร้า เช่น ยาในกลุ่มเอ็มเอโอไอ (monoamine oxidase inhibitors) ยาแก้ปวด หรือยารักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (antirheumatics) อย่างเฟนีลยูตาโซน (phenylbutazone) ไอบูโพรเฟน (ibuprofen)
- ยาที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
- ยาปฏิชีวนะซัลโฟนาไมด์ เช่น ซัลฟาเมโทซาโซล (sulfamethoxazole) โคไตรโมซาโซล (co-trimoxazole)
- ยาต้านแบคทีเรีย ทั้งคลาริโทมัยซิน (clarithromycin) สารประกอบเตตราไซคลิลีน (tetracycline compounds) ยาไมโคนาโซลสำหรับรับประทาน (miconazole) ยาไตรเมโทพริม (trimethoprim) และยาโคลแรมเฟนิคอล (chloramphenicol)
- ยาที่ใช้เพื่อลดระดับไขมันในเลือดสูง ยาลดระดับลิพิด (Lipid) เช่น คลอไฟเยรต (clofibrate)
- ฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (testosterone) ออกทรีโอไทด์ (octreotide)
- ยารักษาโรคเกาต์ (gout) เช่น ซัลฟินไพราโซน (sulfinpyrazone)
- ยารักษาโรคมะเร็งเต้านมหรือโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เช่นอะมิโนกลูเทติมายด์ (aminoglutethimide)
- ยาไทรอยด์ฮอร์โมนที่ใช้เพื่อรักษาปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น ไทรอกซีน (thyroxine)
ผลการลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดของยาไกลคลาไซด์อาจจะลดลงและระดับน้ำตาลอาจจะเพิ่มขึ้นเมื่อใช้หนึ่งในยาดังต่อไปนี้
- ยารักษาความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง อย่างคลอร์โพรเมซีน (chlorpromazine)
- ยาแก้อักเสบ อย่างคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids)
- ยารักษาโรคหอบหืดหรือใช้ขณะคลอดบุตร อย่างซาลบูทามอลสำหรับฉีดเข้าหลอดเลือดดำ (intravenous salbutamol)
- ยาริโทดรีน (ritodrine) และนาเทอ์บูทาลีน (terbutaline)
- ยารักษาความผิดปกติของเต้านม ประจำเดือนมามาก และภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) อย่างดาทาโซล (danazol)
- ยาที่กระตุ้นการปัสสาวะ อย่างยาขับปัสสาวะ โดยเฉพาะยาในกลุ่มไธอะไซด์ยูเรติก เช่น เบนโดรฟลูเมไธอะไซด์ (bendroflumethiazide)
- ยาคุมกำเนิดสำหรับรับประทาน เช่น เอสโตรเจน (oestrogens) โปรเจนเตอโรน (progesterones)
- ยาต้านแบคทีเรียไรฟามัยซิน (Rifamycins)
- ยาระบายเพื่อรักษาอาการท้องผูก เช่น แมกนีเซียม ไฮดรอกไซด์ (magnesium hydroxide)
- ฮอร์โมนอะดรีโนคอร์ติโคโทรปิก (Adrenocorticotropic hormones) ที่ใช้เพื่อรักษาภาวะขาดฮอร์โมนต่อมหมวกไตที่ศูนย์กลางของต้นกำเนิด อย่างเตตราโคซาทริน (tetracosactrin)
- ยาไกลคลาไซด์อาจจะเพิ่มผลของยาลดลิ่มเลือด อย่างวาฟาริน (warfarin)
- ผลของยาไกลคลาไซด์อาจจะลดลงเมื่อใช้ร่วมกับยาไดอะโซไซด์ (Diazoxide) ที่ใช้สำหรับรักษาภาวะความดันโลหิตสูง
- ผลของยาไกลคลาไซด์อาจจะลดลงเมื่อใช้ร่วมกับยาลิเธียม (Lithium) ที่ใช้เพื่อรักษาความผิดปกติของสุขภาพจิต และยาไนเฟดิพีน (nifedipine) ที่ใช้เพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตสูง
โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้ยา
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยาไกลคลาไซด์อาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
ยาไกลคลาไซด์อาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะเมื่อคุณ
- มีปัญหาเกี่ยวกับไตหรือตับ
- เป็นโรคฟอร์ฟิเรีย (porphyria) หรือภาวะขาดเอ็นไซม์ จี 6 พีดี (glucose 6-phosphate dehydrogenase deficiency) โรคเหล่านี้เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่หายาก
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาไกลคลาไซด์สำหรับผู้ใหญ่
โรคเบาหวานชนิดที่ 2
ผู้ใหญ่
ขนาดยาเริ่มต้นคือ รับประทาน 40-80 มก. ต่อวัน ค่อยๆ เพิ่มขนาดยาขึ้นมาถึง 320 มก. ต่อวันหากจำเป็น ขนาดยาที่มากกว่า 160 มก. ต่อวันอาจแบ่งให้ 2 ครั้ง
สำหรับยาเม็ดแบบปรับปรุงการออกฤทธิ์ (modified release tab) ขนาดยาเริ่มต้นคือ 30 มก. วันละครั้ง อาจเพิ่มขนาดยาขึ้นไปถึง 120 มก. ต่อวัน
ขนาดยาไกลคลาไซด์สำหรับเด็ก
ยังไม่มีการพิสูจน์ความความปลอดภัยและประสิทธิภาพของขนาดยานี้สำหรับผู้ป่วยเด็ก ยานี้อาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้ ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของยาก่อนใช้ยา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อกับแพทย์หรือเภสัชกร
รูปแบบของยา
ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้
- ยาเม็ดสำหรับรับประทาน 40 มก. 60 มก. 80 มก.
- ยาเม็ดแบบปรังปรุงการออกฤทธิ์ 30 มก.
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านทันที
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ทันทีที่นึกได้ หรือหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]