backup og meta

ไมเกรน อาการ การรักษาและการป้องกัน

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 29/06/2023

    ไมเกรน อาการ การรักษาและการป้องกัน

    ไมเกรน อาการ อาจสังเกตได้จากอาการปวดศีรษะข้างเดียว ที่อาจรู้สึกเหมือนมีอะไรเต้นตุบ ๆ อยู่ด้านในศีรษะ และอาจมีอาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนรบกวนการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงควรศึกษาวิธีรักษาและการป้องกันอาการไมเกรน หรือเข้าพบคุณหมอหากสังเกตว่าไมเกรนมีอาการรุนแรงมากผิดปกติเพื่อหาวิธีการรักษาอย่างเหมาะสม

    ไมเกรน คืออะไร

    ไมเกรน คือ อาการปวดศีรษะด้านใดด้านหนึ่งหรืออาจเป็นทั้ง 2 ด้าน ในระดับปานกลางไปจนถึงรุนแรง และอาจมีอาการนานกว่า 1 ชั่วโมง ซึ่งรบกวนการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน สาเหตุของไมเกรนยังไม่แน่ชัด แต่อาจเกิดจากความไม่สมดุลของสารเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่มีบทบาทในการควบคุมการทำงานของสมองและระบบประสาท และช่วยควบคุมความรู้สึกเจ็บปวด หากระดับเซโรโทนินเพิ่มมากเกินไปอาจทำให้หลอดเลือดหดตัว และส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงสมองได้น้อยลง และเมื่อระดับเซโรโทนินต่ำลงก็อาจทำให้หลอดเลือดขยายและกดทับบริเวณปลายประสาท นำไปสู่อาการไมเกรน

    นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ทำให้ไมเกรน มีอาการกำเริบ ดังนี้

    • ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง โดยเฉพาะในช่วงก่อนเป็นประจำเดือน ระหว่างเป็นประจำเดือน วัยหมดประจำเดือน และตั้งครรภ์
    • ความเครียดและการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ
    • สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง
    • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
    • การออกกำลังกายหนักเกินไป
    • ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาขยายหลอดเลือด

    ไมเกรน อาการ มีอะไรบ้าง

    ไมเกรน อาการอาจแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้

    1. ระยะก่อนเป็นไมเกรน (Prodrome)

    • รู้สึกอยากอาหารมากขึ้น
    • กระหายน้ำ
    • ปัสสาวะบ่อย
    • เหนื่อยล้า
    • อารมณ์เปลี่ยนแปลง
    • สมาธิสั้น
    • ท้องอืด ท้องผูก หรือท้องเสีย

    2. ระยะอาการเตือน (Aura)

    • การมองเห็นเปลี่ยนแปลง เช่น ตาไวต่อแสง มองเห็นเป็นภาพซ้อน เห็นจุดสีดำ และอาจสูญเสียการมองเห็นชั่วคราว
    • พูดไม่ชัด
    • รู้สึกชาที่ใบหน้า
    • แขนและขาอ่อนแรง
    • ประสาทสัมผัสด้านการรับกลิ่นและการรับรสชาติเปลี่ยนแปลง

    3. ระยะปวดศีรษะ (Headache)

    • ปวดศีรษะตุบ ๆ ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง
    • ไวต่อแสง เสียง และกลิ่น
    • คลื่นไส้ อาเจียน

    4. ระยะหลังจากปวดศีรษะ (Postdrome)

    • อ่อนเพลีย
    • กล้ามเนื้ออ่อนแรง
    • มีความอยากอาหารเพิ่มขึ้นหรือเบื่ออาหาร
    • รู้สึกปวดศีรษะหากหันศีรษะกะทันหัน

    หากมีอาการปวดศีรษะกะทันหัน มีไข้ สายตาพร่ามัว รู้สึกมึนงง และร่างกายอ่อนแรง ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง

    ไมเกรน อาการ รักษาได้อย่างไร

    ไมเกรน อาการอาจรักษาได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

    ยาบรรเทาอาการปวดไมเกรน

    • ยาแก้ปวด เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดไมเกรนเล็กน้อย เพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ
    • ยากลุ่มทริปแทน (Triptans) เช่น ซูมาทริปแทน (Sumatriptan) ริซาทริปแทน (Rizatriptan) ใช้เพื่อรักษาอาการปวดไมเกรน โดยต้องได้รับการอนุญาตจากคุณหมอและไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจวาย
    • ยาไดไฮโดรเออร์โกตามีน (Dihydroergotamine) เป็นยาบรรเทาอาการปวดไมเกรนในรูปแบบสเปรย์พ่นจมูก ซึ่งอาจมีประสิทธิภาพในการรักษาดีที่สุดเมื่อใช้หลังจากมีอาการไมเกรนได้ไม่นาน และไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคไต และโรคตับ
    • ยาลาสมิดิตัน (Lasmiditan) คือ ยารูปแบบรับประทานที่ช่วยลดอาการปวดศีรษะ แต่อาจส่งผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หากรับประทานยานี้ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ
    • ยายูโบรจีแพนท์ (Ubrogepant) เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไมเกรนเฉียบพลัน ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดไมเกรนและอาการอื่น ๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน แต่อาจส่งผลข้างเคียง ได้แก่ ปากแห้ง รู้สึกง่วงนอน
    • ยาโอปิออยด์ (Opioids) ใช้เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรนในระดับปานกลางถึงรุนแรง โดยคุณหมออาจอนุญาตให้ใช้ต่อเมื่อผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาอาการปวดไมเกรนด้วยวิธีอื่น ๆ เนื่องจากยานี้อาจทำให้เกิดการเสพติด
    • ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้ เช่น คลอร์โปรมาซีน (Chlorpromazine) เมโทโคลพราไมด์ (Metoclopramide) โปรคลอเปอราซีน (Prochlorperazine) ใช้เพื่อช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียนจากอาการปวดไมเกรน มักใช้ควบคู่กับยาแก้ปวด

    ยาป้องกันอาการไมเกรน

  • ยาลดความดันโลหิต เช่น โพรพราโนลอล (Propranolol) เมโทโพรลอล ทาร์เทรต (Metoprolol tartrate) ที่อาจช่วยป้องกันอาการปวดไมเกรนและลดอาการไมเกรนอื่น ๆ ในระยะอาการเตือน
  • ยากล่อมประสาท อาจช่วยป้องกันอาการไมเกรน แต่อาจส่งผลให้ง่วงนอน ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานพาหนะ หรือทำงานใกล้กับเครื่องจักร เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
  • ยากันชัก เช่น วาลโปรเอท (Valproate) โทพิราเมท (Topiramate) เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไมเกรนไม่บ่อยนัก แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อาการวิงเวียนศีรษะ น้ำหนักเพิ่มหรือลงกะทันหัน คลื่นไส้ อาเจียน และไม่แนะนำให้ใช้ในสตรีตั้งครรภ์หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์
  • การป้องกันไมเกรน

    การป้องกันไมเกรน อาจทำได้ดังนี้

    • ลดความเครียดด้วยการทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง เดินเล่น
    • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง
    • ดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้ว/วัน
    • ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที 5 วัน/สัปดาห์
    • หลีกเลี่ยงการอดอาหาร
    • เลิกสูบบุหรี่ และลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
    • ตรวจสุขภาพประจำปี

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    พลอย วงษ์วิไล


    เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 29/06/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา