กลัวการเข้าสังคม (Social Anxiety Disorder /Social Phobia) ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความผิดปกติทางสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยที่สุด โดยผู้ป่วยมักมีอาการประหม่า เหงื่ออกตามมือ วิตกกังวล เมื่อต้องเข้าสังคม
คำจำกัดความ
กลัวการเข้าสังคม (Social Anxiety Disorder หรือ Social Phobia) คืออะไร
โรคกลัวการเข้าสังคม (Social Anxiety Disorder หรือ Social Phobia) ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความผิดปกติทางสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยที่สุด โดยผู้ป่วยมักมีอาการประหม่า เหงื่อออกตามมือ เกิดอาการวิตกกังวล เมื่อต้องเข้าสังคม เช่น พูดคุยกับคนแปลกหน้า พูดในที่สาธารณะ รับประทานอาหารต่อหน้าคนอื่น
พบบ่อยแค่ไหน
สมาคมโรควิตกกังวลและซึมเศร้าแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (Anxiety and Depression Association of America : ADDA) พบว่า อาการของโรคกลัวการเข้าสังคมอาจเริ่มตั้งแต่อายุ 13 ปี
อาการ
อาการของ โรคการกลัวการเข้าสังคม
อาการทั่วไปของ โรคกลัวการเข้าสังคม แบ่งออกเป็นทางด้านร่างกาย และทางด้านอารมณ์ โดยมีอาการแสดงออก ดังต่อไปนี้
อาการแสดงออกทางร่างกาย
- หน้าแดง หัวใจเต้นเร็ว
- ตัวสั่น เหงื่อออก
- กล้ามเนื้อตึงเครียด
- อาการวิงเวียนศีรษะ
- มีปัญหาในการหายใจ
- ปัญหาเกี่ยวกับระบบในกระเพาะอาหาร เช่น ท้องร่วง ปวดท้อง คลื่นไส้
อาการแสดงออกทางอารมณ์และพฤติกรรม
- มีความวิตกกังวล ไม่มั่นใจตนเอง ในการพูดโต้ตอบกับคนแปลกหน้า
- กลัวคนอื่นจะสังเกตว่าเรารู้สึกวิตกกังวล
- กลัวอาการที่แสดงออกทางร่างกาย ที่อาจทำเรารู้สึกลำบากใจ เช่น หน้าแดง เหงื่อออก ตัวสั่น
- กังวลเกี่ยวกับตนเองว่าอาจทำให้ตนเองรู้สึกอับอาย
ควรพบคุณหมอเมื่อใด
โรคกลัวการเข้าสังคม อาจกลายเป็นข้อจำกัด ที่ทำให้คุณไม่สามารถเข้าสังคม ทำงาน ร่วมกิจกรรมสำคัญต่างๆ หรือประกอบกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
หากคุณมีอาการใดๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดจึงควรพูดคุยกับคุณหมอ เพื่อหาแนวทางในการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
สาเหตุ
สาเหตุของ โรคกลัวการเข้าสังคม
สาเหตุของโรคกลัวการเข้าสังคมยังไม่มีหลักฐานการระบุของสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีข้อสันนิษฐานที่บ่งบอกสาเหตุของโรค ดังต่อไปนี้
- พันธุกรรม โรคกลัวการเข้าสังคม มักเกิดขึ้นกับสมาชิกในครอบครัว (ไม่มีหลักฐานการระบุที่แน่ชัด)
- โครงสร้างสมอง โครงสร้างในสมองที่เรียกว่า อะมิกดาลา (Amygdala) อาจมีบทบาทในการควบคุมการตอบสนองต่อความกลัว สมองส่วนนี้จะตรวจจับความรู้สึก และตอบสนองต่อการรับรู้สึกต่อความกลัวมากยิ่งขึ้น
- สิ่งแวดล้อม โรคกลัวการเข้าสังคม อาจเป็นพฤติกรรมที่ได้จากการเรียนรู้ เช่น บางคนอาจรู้สึกกลัวการเข้าสังคมจากเรื่องน่าอับอายในเหตุการณ์นั้น ๆ
ปัจจัยเสี่ยงของ โรคกลัวการเข้าสังคม
ปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกลัวการเข้าสังคมได้ ดังนี้
- ประวัติครอบครัว คุณอาจมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคกลัวการเข้าสังคมได้ หากสมาชิกในครอบครัวของคุณเคยเป็นโรคดังกล่าวนี้
- ประสบการณ์เชิงลบในอดีต เช่น ในสมัยเด็กอาจเคยถูกแกล้ง เยาะเย้ย หรือถูกทำให้อับอาย จึงอาจส่งผลให้มีแนวโน้มกลัวการเข้าสังคม
- ความผิดปกติทางกายภาพ เช่น ใบหน้าเสียโฉม ติดอ่าง หรืออาการสั่นจากโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease)
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัย โรคกลัวการเข้าสังคม
ในปัจจุบันไม่มีการทดสอบทางการแพทย์เพื่อตรวจหา โรคกลัวการเข้าสังคม แพทย์จะวินิจฉัยจากคำอธิบายอาการกลัวของคุณ นอกจากนี้ยังสามารถวินิจฉัยโรคกลัวการเข้าสังคมได้หลังจากตรวจสอบรูปแบบพฤติกรรมตามเกณฑ์การประเมิน ดังต่อไปนี้
- ความกลัวต่อสถานการณ์ทางสังคมอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความกลัว ความอับอาย
- รู้สึกกังวลหรือตื่นตระหนกก่อนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
- ความวิตกกังวลต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวัน
การรักษา โรคกลัวการเข้าสังคม
การรักษาโรคกลัวการเข้าสังคมมีหลายประเภท โดยผลการรักษาจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยมีทางเลือกในการรักษา ดังต่อไปนี้
- การบำบัดพฤติกรรมทางปัญญา การบำบัดด้วยวิธีนี้จะช่วยปรับทัศนคติทางด้านความคิดจากเชิงลบไปในทิศทางเชิงบวก สอนวิธีการควบคุมความวิตกกังวล ผ่านการผ่อนคลายและการหายใจ เป็นต้น
- การบำบัดด้วยการสัมผัส การบำบัดด้วยวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ปวยค่อย ๆ เผชิญหน้ากับสถานการณ์ทางสังคมแทนที่จะหลีกเลี่ยง
- การบำบัดกลุ่ม จะช่วยให้คุณเรียนรู้ทักษาะทางสังคมและเทคนิคในการโต้ตอบกับผู้คนในสภาพแวดล้อมทางสังคม การเข้าร่วมการบำบัดแบบกลุ่มกับผู้อื่นที่มีความกลัวเช่นเดียวกันอาจช่วยให้คุณรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเอง
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองเพื่อรักษาโรคกลัวการเข้าสังคม
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองเพื่อรักษา โรคกลัวการเข้าสังคม ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์และยาเสพติด รวมการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี่ส่วนผสมของคาเฟอีนและนิโคติน เพราะอาจทำให้เกิดความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นได้
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ แนะนำให้นอนหลับอย่างน้อยวันละ 8 ชม.
หากมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อให้เข้าใจวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ