ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) เป็นฮอร์โมนเพศชายซึ่งผลิตจากอัณฑะ มีหน้าที่รักษาลักษณะความเป็นชายต่าง ๆ เช่น หนวดเครา น้ำเสียงทุ้ม รวมทั้งระดับความต้องการทางเพศ หากมีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ ความต้องการทางเพศอาจจะลดลง ซึ่งรักษาได้ด้วยการให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนทดแทน
[embed-health-tool-heart-rate]
ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน มีหน้าที่อะไร
เทสโทสเตอโรนเป็นฮอร์โมนเพศหลักในผู้ชาย มีหน้าที่ ดังนี้
- กระตุ้นให้องคชาตและอัณฑะเจริญเติบโตสมวัย
- ช่วยลดน้ำเสียงเล็กแหลม ทำให้เพศชายมีเสียงทุ้มใหญ่ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น
- กระตุ้นการเติบโตและงอกของขนบนใบหน้าและบริเวณอวัยวะเพศ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น
- รักษาและผลิตการสร้างมวลกล้ามเนื้อ
- รักษาและพัฒนาการสร้างมวลกระดูก
- รักษาระดับความต้องการทางเพศให้เป็นปกติ
- กระตุ้นให้เกิดการผลิตตัวอสุจิของอัณฑะ
- กระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง
โดยปกติ ระดับเทสโทสเตอโรนในผู้ชาย จะอยู่ในระดับสูงสุดเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ก่อนจะค่อย ๆ ลดลงราวปีละ 1 เปอร์เซ็นต์ หลังอายุย่างเข้าสู่วัย 30-40 ปี อย่างไรก็ตาม ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่ลดต่ำลงอาจเป็นเพราะวัยที่มากขึ้น หรือเป็นเพราะภาวะเทสโทสเตอโรนต่ำ ซึ่งเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งของร่างกายก็ได้
ทั้งนี้ ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนสามารถพบได้ในผู้หญิงเช่นกัน โดยผลิตจากรังไข่ ต่อมหมวกไต เซลล์ไขมัน และเซลล์ผิว เพียงแต่มีปริมาณต่ำกว่าที่ผลิตในผู้ชาย ในผู้หญิง ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของรังไข่ การสร้างมวลกระดูก และกระตุ้นให้เกิดความต้องการทางเพศ
ภาวะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ
ภาวะเทสโทสเตอโรนต่ำ เป็นภาวะซึ่งร่างกายผู้ชายผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนได้ในปริมาณที่ต่ำกว่าปกติ นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงทั้งลักษณะภายนอกและภายในร่างกาย อาจเป็นความผิดปกติโดยกำเนิด หรืออาจเกิดขึ้นได้ในภายหลัง
สำหรับวัยรุ่นที่มีภาวะเทสโทสเตอโรนต่ำ ร่างกายจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงสมชายอย่างที่ควรจะเป็น เช่น ขนาดอวัยวะเพศอาจไม่ใหญ่ขึ้น ขนบนร่างกายขึ้นน้อยและเสียงไม่ทุ้มใหญ่ เมื่อเทียบกับเพศชายในวัยเดียวกัน
ขณะเดียวกัน เพศชายซึ่งมีภาวะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ จะมีอาการดังนี้
- ความต้องการทางเพศลดลง
- เรี่ยวแรงลดลง
- ซึมเศร้า
- มวลกระดูกลดลง
- มวลกล้ามเนื้อลดลง
- มีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
- ขนบนใบหน้าและร่างกายหลุดร่วง
สาเหตุภาวะเทสโทสเตอโรนต่ำ
ภาวะเทสโทสเตอโรนต่ำ เกิดได้จาก 2 สาเหตุ คือ
ความผิดปกติของอัณฑะ ที่เรียกว่าภาวะพร่องฮอร์โมนปฐมภูมิ (Primary Testicular Failure)
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย
- กลุ่มอาการไคลน์เฟลเตอร์ (Klinefelter Syndrome) หรือภาวะที่ทารกเพศชายมีโครโมโซม X มากกว่า 1 โครโมโซม
- ภาวะอัณฑะค้าง (Undescended Testicles) หรือการที่อัณฑะติดอยู่ในบริเวณช่องท้องหรืออุ้งเชิงกราน ไม่เคลื่อนลงไปที่ถุงอัณฑะ
- ภาวะธาตุเหล็กเกินในร่างกาย
- การบาดเจ็บที่อัณฑะ
- การรักษามะเร็งด้วยยาเคมีบำบัดหรือคีโม
ความผิดปกติของต่อมใต้สมองหรือส่วนของสมองที่เรียกว่าไฮโพทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งโดยปกติมีส่วนกระตุ้นให้อัณฑะผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย
- อายุที่มากขึ้น
- โรคอ้วน
- การติดเชื้อเอชไอวี
- โรคหรือภาวะผิดปกติของต่อมใต้สมอง
- การใช้ยาระงับความเจ็บปวดในกลุ่มโอปิแอต (Opiates)
การรักษาภาวะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ
การรักษาภาวะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ มักใช้วิธีบำบัดด้วยการให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนทดแทน (Testosterone Replacement Therapy หรือ TRT) ทั้งในกรณีเป็นโดยกำเนิดและกรณีที่เกิดขึ้นภายหลัง ยกเว้นในกรณีที่ฮอร์โมนลดต่ำลงเพราะอายุที่มากขึ้นซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ โดยการให้ฮอร์โมนทดแทนมีหลายรูปแบบ ดังนี้
- แผ่นแปะผิวหนัง ซึ่งจะค่อย ๆ ปล่อยฮอร์โมนปริมาณเล็กน้อยเข้าสู่ผิวหนัง อยู่ได้นาน 24 ชั่วโมงก่อนต้องเปลี่ยนใหม่ มักแปะในตอนเย็นหรือก่อนเข้านอน
- เจล ใช้ทาบนร่างกายวันละ 1 ครั้ง เพื่อให้ฮอร์โมนทดแทนซึมผ่านผิวหนัง และเมื่อทาแล้ว จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการอาบน้ำ เพื่อฮอร์โมนจะได้ซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังและไม่ถูกชำระล้างออกไป
- เจลทางจมูก เป็นการปั๊มฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนแบบเจลเข้าทางรูจมูก โดยต้องทำวันละ 2 ครั้ง
- ยาสำหรับใช้ในปาก เป็นยาเม็ดที่ใช้แปะติดกับเหงือกหรือหลังฟันหน้า แปะวันละ 2 เม็ด ห่างกัน 12 ชั่วโมง เพื่อให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดผ่านเนื้อเยื่อในปาก
- ยาฉีด ฉีดปริมาณ 50-400 มิลลิกรัมเข้ากล้ามเนื้อทุก 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด
แม้การบำบัดด้วยฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนทดแทนจะเป็นการรักษาที่ได้ผล แต่ก็อาจมีความเสี่ยงทางสุขภาพ ผู้มีภาวะเทสโทสเตอโรนต่ำซึ่งเข้ารับการรักษา อาจพบผลข้างเคียงดังต่อไปนี้
- เป็นสิว
- เกิดผื่นบนร่างกาย
- เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- หน้าอกขยาย
เนื่องจากฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนมีความเกี่ยวข้องกับการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง การบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทนจึงมีส่วนทำให้เซลล์ดังกล่าวเพิ่มจำนวนขึ้น รวมถึงอาจทำให้เกิดลิ่มเลือดในร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่การอุดกั้นของลิ่มเลือดในปอด
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังมีความกังวลว่า การบำบัดด้วยเทสโทสเตอโรอาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย
ดังนั้น ก่อนเข้ารับการรักษา ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อให้ตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียด และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย เพื่อให้เกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด