ห่วงคุมกำเนิด หรือ ห่วงอนามัย เป็นหนึ่งในวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ทั้งนี้ ประสิทธิภาพของห่วงคุมกำเนิดอาจขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งานและการดูแลรักษาด้วยว่าเหมาะสมหรือไม่
ทำความรู้จักกับ ห่วงคุมกำเนิด
ห่วงคุมกำเนิดคืออะไร
ห่วงคุมกำเนิด หรือห่วงอนามัย หรือห่วงอนามัยคุมกำเนิด (Intrauterine Device: IUD) เป็นเครื่องมือชิ้นเล็ก ๆ สำหรับสอดเข้าไปใสโพรงมดลูกผ่านอุปกรณ์สอด จากนั้นห่วงคุมกำเนิดจะปล่อยสารออกฤทธิ์ เช่น ทองแดง ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนออกมา เพื่อเปลี่ยนเส้นทางของอสุจิที่เคลื่อนเข้าสู่ไข่ หรือเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ไข่ฝังตัวที่ผนังมดลูก เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ห่วงคุมกำเนิดถือเป็นการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับผู้หญิง ห่วงคุมกำเนิดสามารถใช้งานได้นาน และผู้หญิงสามารถตั้งครรภ์ได้ทันทีที่เอาห่วงออก
โดยทั่วไปห่วงคุมกำเนิดแบ่งเป็นสองชนิด ได้แก่
- ห่วงคุมกำเนิดแบบเคลือบทองแดง มีหลายรูปแบบ เช่น ทรงคล้ายตัวอักษรตัวที (T) ทรงคล้ายตัวอักษรตัววาย (Y) ทรงคล้ายตัวอักษรตัวยู (U) ซึ่งจะปล่อยทองแดงออกมา 40-50 ไมโครกรัม/วัน ในช่วงแรก จากนั้นจะค่อย ๆ ปล่อยทองแดงน้อยลงเรื่อย ๆ เพื่อให้สามารถคุมกำเนิดได้ตลอดอายุการใช้งาน
- ห่วงคุมกำเนิดแบบฮอร์โมน ซึ่งจะปล่อยฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรล ซึ่งเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่เลียนแบบฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเข้าสู่มดลูกอย่างช้า ๆ ระยะเวลาการใช้งานอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปริมาณตัวยาที่ปล่อยออกมา
ประโยชน์ของการใช้ห่วงคุมกำเนิด
ประโยชน์หรือข้อดีของห่วงคุมกำเนิด อาจมีดังนี้
- เป็นวิธีการคุมกำเนิดในระยะยาว ที่สามารถใช้งานได้ 3-10 ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของห่วงคุมกำเนิดและการดูแลรักษา
- สามารถตั้งครรภ์ได้ทันทีที่เอาห่วงคุมกำเนิดออก
- เป็นการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพมากถึง 99%
- หากไม่ต้องการคุมกำเนิดแล้ว ก็สามารถนำห่วงคุมกำเนิดออกได้ง่าย
- ไม่ส่งผลเสียต่อการให้นมบุตร
- ไม่สร้างความรำคาญหรือรบกวนการมีเพศสัมพันธ์
- ไม่มีข้อพิสูจน์ถึงความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง
- ห่วงแบบเคลือบทองแดงไม่มีส่วนประกอบของฮอร์โมน
- ห่วงแบบเคลือบทองแดง สามารถทำหน้าที่เสมือนยาคุมฉุกเฉินได้
- ไม่มีผลข้างเคียง เนื่องจากปล่อยฮอร์โมนออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ความเสี่ยงของการใช้ห่วงคุมกำเนิด
โดยปกติแล้ว การคุมกำเนิดด้วยห่วงคุมกำเนิดถือเป็นวิธีที่ปลอดภัย แต่อาจพบผลข้างเคียงได้ ดังนี้
- อาจเสี่ยงติดเชื้อได้ขณะใช้ห่วงคุมกำเนิด แต่ความเสี่ยงถือว่าอยู่ในระดับต่ำมาก
- มีโอกาสในการตั้งครรภ์ขณะใช้ห่วงคุมกำเนิด แต่พบได้ค่อนข้างยาก
- อาจตั้งครรภ์นอกมดลูกได้
- ห่วงแบบเคลือบทองแดงอาจทำให้เลือดออกมากขึ้น หรือปวดท้องหนักมากในระหว่างมีประจำเดือน
- ทองแดงอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้
- ห่วงแบบฮอร์โมนอาจทำให้เกิดปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติ เช่น ประจำเดือนน้อยกว่าปกติ ประจำเดือนมากกว่ากว่าปกติ
- ห่วงคุมกำเนิดอาจหลุดออกมาเอง แต่ถือว่าเป็นกรณีที่พบได้น้อย
ห่วงคุมกำเนิดเหมาะหรือไม่เหมาะกับใครบ้าง
ห่วงคุมกำเนิดเหมาะสำหรับผู้หญิงแทบทุกคน วัยรุ่นและผู้หญิงที่ยังไม่เคยมีลูกก็สามารถใช้ได้ อีกทั้งยังอาจเหมาะสำหรับผู้หญิงที่ประจำเดือนมามากอีกด้วย อย่างไรก็ตาม หากมีอาการติดเชื้อใด ๆ เช่น ติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด ควรรักษาให้หายก่อน จึงค่อยใช้ห่วงคุมกำเนิด และห่วงคุมกำเนิดแบบเคลือบทองแดงอาจไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ปกติมีประจำเดือนมามาก หรือมีอาการปวดท้องอย่างหนักในช่วงมีประจำเดือน เพราะอาจทำให้อาการเหล่านี้แย่ลงได้
ช่วงเวลาในการใส่ห่วงคุมกำเนิด
การใส่ห่วงคุมกำเนิดสามารถทำได้ในช่วงต่อไปนี้
- ในระหว่างมีประจำเดือน หรือเพิ่งหมดประจำเดือน
- หกสัปดาห์หลังคลอดบุตร
- ในระหว่างที่มีการผ่าตัดเพื่อทำแท้ง
- สามารถใส่ห่วงคุมกำเนิดแบบเคลือบทองแดงเพื่อคุมกำเนิดฉุกเฉินได้ แต่ต้องใส่ห่วงคุมกำเนิดภายใน 5 วันหลังมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
การดูแลหลังใส่ห่วงคุมกำเนิด
หากใส่ห่วงคุมกำเนิดครบ 6 สัปดาห์แล้ว ควรกลับไปพบคุณหมอ เพื่อให้คุณหมอตรวจดูว่าห่วงคุมกำเนิดอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมหรือไม่ เลื่อนหลุดหรือเปล่า เป็นต้น และหากมีข้อสงสัยใด ๆ ในการใช้ห่วงคุมกำเนิด ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด
[embed-health-tool-ovulation]