ตาตุ่มด้าน เป็นปัญหาผิวหนังที่แข็งและด้าน ซึ่งอาจเกิดจากร่างกายสร้างเซลล์ผิวเพิ่มมากขึ้น เพื่อปกป้องผิวชั้นในจากแรงเสียดสี แรงกดทับ หรือความระคายเคืองที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนอาจส่งผลให้ผิวบริเวณตาตุ่มมีสีเปลี่ยนไป แห้งเป็นขุย แข็งกระด้าง แต่ในบางกรณี อาจมีอาการเจ็บปวดหรือไวต่อการสัมผัสมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ อาจขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ อย่างไรก็ตาม การรักษาและป้องกันที่เหมาะสมอาจช่วยลดปัญหาตาตุ่มด้านได้
[embed-health-tool-heart-rate]
คำจำกัดความ
ตาตุ่มด้าน คืออะไร
ตาตุ่มด้าน คือ ภาวะที่ผิวหนังบริเวณตาตุ่มมีลักษณะหนาและแข็งขึ้น เนื่องจากแรงกดทับ แรงเสียดสี หรือความระคายเคือง มักไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด หรือทำให้ไวต่อการสัมผัสน้อยลง แต่ในบางคน ผิวบริเวณตาตุ่มอาจไวต่อความรู้สึกหรือเจ็บปวดมากขึ้นได้ ทั้งนี้ ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อหาสาเหตุของอาการ จะได้รักษาได้ตรงจุดขึ้น
อาการ
อาการตาตุ่มด้าน
อาการตาตุ่มด้าน อาจมีดังนี้
- ผิวหนังบริเวณตาตุ่มแห้งเป็นขุย หยาบกร้าน หนา และแข็งขึ้น
- อาจไวต่อความรู้สึกมากขึ้นหรือน้อยลง และอาจเจ็บปวดที่ผิวหนัง
- ผิวหนังบริเวณตาตุ่มอาจเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาล สีแดง หรือหมองคล้ำลง
- อาจมีแผลพุพอง
สาเหตุ
สาเหตุตาตุ่มด้าน
สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดปัญหาตาตุ่มด้าน คือ แรงกดทับ แรงเสียดสี และความระคายเคืองที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ส่งผลให้ร่างกายปกป้องผิวชั้นในด้วยการสร้างผิวหนังให้แข็งและหนาขึ้น เพื่อรองรับแรงเสียดสีที่กระทบผิวหนัง นอกจากผิวหนังแข็งและหน้าขึ้นแล้ว ยังอาจหยาบกร้านมากขึ้นด้วย ซึ่งแรงกดทับ แรงเสียดสี และการระคายเคืองที่ทำให้ตาตุ่มด้าน อาจเกิดจากพฤติกรรมดังต่อไปนี้
- การใส่รองเท้าไม่พอดี หลวมหรือคับแน่นเกินไป ไม่ใส่ถุงเท้าป้องกัน จนสร้างอาจแรงกดและแรงเสียดสีบริเวณตาตุ่ม
- การทำกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่สร้างแรงกดหรือแรงเสียดสี โดยเฉพาะบริเวณตาตุ่ม
- การนั่งขัดสมาธิบนพื้นที่หนาและแข็ง อาจเพิ่มแรงกดและเสียดสีได้
นอกจากนี้ อายุที่เพิ่มขึ้น ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคเบาหวาน หรือปัญหาเลือดไหลเวียนไปที่เท้าไม่ดี และพฤติกรรมเสี่ยงบางอย่าง เช่น การสุบบุหรี่ ก็อาจส่งผลต่อความผิดปกติของการพัฒนาเซลล์ผิว หรืออาจเกิดจากความเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวได้เช่นกัน
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงตาตุ่มด้าน
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดตาตุ่มด้าน มีดังนี้
- ตาตุ่มได้รับแรงกดหรือแรงเสียดสีบ่อยครั้ง
- อายุที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ผิวหนังเสื่อมสภาพลงได้
- โรคเบาหวาน การไหลเวียนเลือดไม่ดี
- การสูบบุหรี่
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยตาตุ่มด้าน
การวินิจฉัยตาตุ่มด้าน คุณหมออาจซักประวัติสุขภาพของผู้ป่วย และตรวจสอบเท้าเพื่อหาสาเหตุของผิวหนังด้านและแข็ง และอาจเอ็กซเรย์เพิ่มเติม หากเป็นความผิดปกติทางกายภาพ
การรักษาตาตุ่มด้าน
การรักษาผิวตาตุ่มด้านและแข็งโดยคุณหมอ
วิธีที่คุณหมอใช้รักษาผิวตาตุ่มด้านและแข็ง อาจมีดังนี้
- รักษาด้วยกรดไซลิก (Salicylic Acid)
เป็นการรักษาเพื่อสลายโปรตีนและเคราตินที่ทำให้ผิวหนังแข็งและด้าน เมื่อกรดทำปฏิกิริยา อาจทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มขึ้นและสามารถขัดหรือตัดผิวหนังที่ตายแล้วออกได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ การรักษาด้วยกรดไซลิกควรอยู่ในความดูแลของคุณหมอ เพราะบางคนอาจมีอาการแพ้รุนแรง เช่น ปวดหัวรุนแรง คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย หน้ามืด หายใจลำบาก ผิวหนังระคายเคือง นอกจากนี้ อาจส่งผลเสียต่อผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเบาหวาน อาจทำให้เกิดปัญหาผิวที่รักษายากตามมาได้
การดูแลรักษาตาตุ่มด้านด้วยตนเอง
วิธีรักษาปัญหาตาตุ่มด้านด้วยตัวเอง อาจมีดังนี้
- ใช้เกลือเอปซอม (Epsom Salts) อาจทำให้ผิวหนังแข็งที่ตาตุ่มนุ่มลงได้ และง่ายต่อการขัดหรือตะไบออก โดนใช้เกลือเอปซอม 1 กำมือ ผสมลงในน้ำอุ่น จากนั้นแช่ตาตุ่ม 10 นาที ผิวหนังจะอ่อนนุ่มลง
- หินภูเขาไฟและตะไบ หลังจากการแช่ตาตุ่มด้วยน้ำเกลือ สามารถใช้หินภูเขาไฟหรือตะไบ ขัดวนบริเวณตาตุ่มเบา ๆ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก และควรใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
- ป้องกันการเสียดสี ใช้อุปกรณ์ป้องกันแรงเสียดสีที่บริเวณตาตุ่ม เมื่อตาตุ่มไม่เกิดการเสียดสีจะทำให้ผิวหนังด้านและแข็งค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ
- ครีมปรับสภาพผิว ใช้ครีมสูตรเข้มข้น หรือปิโตรเลียมเจลที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิว โดยทาบริเวณตาตุ่มทิ้งไว้ข้ามคืนหรืออาจใส่ถุงเท้าเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นร่วมด้วย
- ครีมขัดผิว เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก ยูเรีย (Urea) หรือแอมโมเนียมแลคเตต (Ammonium Lactate) เพื่อกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่า เมื่อเกิดเซลล์ผิวใหม่ ผิวหนังจะค่อย ๆ นุ่มขึ้น
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อจัดการกับตาตุ่มด้าน
การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันและจัดการกับปัญหาตาตุ่มด้าน อาจทำได้ดังนี้
- สวมรองเท้าที่ใส่สบาย ไม่คับจนเกินไป หลีกเลี่ยงรองเท้าที่แข็งและหนา เพราะอาจเพิ่มแรงเสียดสีที่ตาตุ่ม ทำให้ผิวบริเวณตาตุ่มด้านและแข็งได้
- สวมถุงเท้าทุกครั้งก่อนใส่รองเท้าที่มีลักษณะปิดตาตุ่ม เพื่อป้องกันผิวบริเวณตาตุ่มเสียดสีกับรองเท้า
- หลีกเลี่ยงการนั่งกับพื้นที่แข็งและหนา เพราะอาจทำให้เกิดแรงเสียดสีบริเวณตาตุ่มอย่างต่อเนื่อง
- ทำความสะอาดเท้าทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณตาตุ่ม เพื่อฆ่าเชื้อโรค หรือแช่เท้าในน้ำอุ่นประมาณ 5-10 นาที และขัดผิวเพื่อผลัดเซลล์ผิวเก่าออก
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวบริเวณตาตุ่มด้วยครีมบำรุงเท้า จะช่วยให้ผิวนุ่มขึ้น
- ไม่ควรใช้มีดหรือกรรไกรตัดเล็บตัดผิวหนังแข็งออกเอง เพราะอาจทำให้เกิดแผลติดเชื้อได้
- หากผิวบริเวณตาตุ่มแข็งและหนาขึ้น หรือมีอาการเจ็บปวด ปรึกษาคุณหมอ เพื่อหาสาเหตุและวิธีรักษาที่เหมาะสม