หลุมสิว คือแผลเป็นจากสิวบนใบหน้าซึ่งมีลักษณะเป็นรอยบุ๋มหรือผิวหนังยุบลงไป ทำให้ผิวหน้าดูขรุขระไม่เรียบเนียน สาเหตุการเกิดหลุมสิวมีหลายอย่าง เช่น การบีบสิว การกดสิว การอักเสบของสิว อย่างไรก็ตาม การรักษาหลุมสิวนั้นมีหลายวิธี อาทิ การใช้สารเคมี ลูกกลิ้งนวดหน้า เลเซอร์ การผ่าตัด ควรศึกษาวิธีการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียน และป้องกันการเกิดหลุมสิวซ้ำอีก
คำจำกัดความ
หลุมสิว คืออะไร
หลุมสิวคือรอยแผลเป็นจากสิวแบบหนึ่ง เกิดจากการสมานตัวที่ไม่สมบูรณ์ของผิวหนังหลังเกิดสิว ทำให้เกิดเป็นรอยบุ๋มบนใบหน้า ลักษณะของหลุมสิวแบ่งได้ดังนี้
- Ice Pick Scar มีลักษณะเป็นรูเล็ก ๆ ค่อนข้างลึก คล้ายถูกเจาะด้วยที่เซาะน้ำแข็ง (ice pick) เกิดจากการประทุของสิวที่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง แล้วร่างกายพยายามซ่อมแซมด้วยการผลิตคอลลาเจนขึ้นมา แต่อาจมีปริมาณน้อยเกินไปจึงทำให้หลุมสิวยังคงอยู่ หลุมสิวแบบนี้มักเกิดบริเวณโหนกแก้มหรือหน้าผาก สามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่จะพบในวัยรุ่น
- Boxcar Scar เป็นหลุมสิวซึ่งมีลักษณะค่อนขว้างกว้างและลึก บางครั้งมีสีแดงหรือน้ำตาล มักพบบริเวณแก้มส่วนล่าง คาง และขากรรไกร สาเหตุการเกิดหลุมสิวชนิดนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด อาจเกิดจากการที่ผิวหนังพยายามฟื้นตัวจากสิวแต่ไม่สามารถกลับไปยังสภาพเดิมก่อนเป็นสิวได้ หรืออาจเกิดจากสิวหัวช้าง
- Rolling Scar เกิดจากการยุบตัวของผิวหนังเนื่องจากสิวอักเสบ หลุมสิวจะมีลักษณะกว้างแต่ตื้นมักเกิดบริเวณแก้มส่วนล่าง คาง และขากรรไกร
สาเหตุ
สาเหตุของหลุมสิว
โดยปกติเมื่อเป็นสิว ผิวหนังจะสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของผิวหนังขึ้นมาเพื่อสมานแผลจากสิว ทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม แต่หากเป็นสิวหัวช้าง หรือสิวอักเสบขั้นรุนแรง รวมทั้งการกดหรือบีบสิว ร่างกายอาจสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนได้ไม่เพียงพอที่จะทดแทนผิวหนังส่วนที่เสียหายจากสิว ทำให้การสมานแผลไม่สมบูรณ์ และเกิดเป็นหลุมสิวขึ้น
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยหลุมสิว
เมื่อไปถึงสถานพยาบาล คุณหมอผิวหนังจะตรวจดูแผลเป็นของคนไข้ และตัดสินใจว่าเป็นหลุมสิวแบบไหน และควรใช้วิธีการใดในการรักษา เนื่องจากสภาพผิวหน้าและลักษณะของหลุมสิวที่แตกต่างกัน ทำให้คนไข้แต่ละรายจะได้รับการรักษาที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม การรักษาหลุมสิวอาจไม่เห็นผลทันที และต้องใช้เวลาเป็นเดือน หรือเป็นปี ขึ้นอยู่กับความลึกและความรุนแรงของหลุมสิว
การรักษาหลุมสิว
หลุมสิวสามารถรักษาได้หลายวิธี ดังนี้
- ใช้เลเซอร์ เป็นการใช้เลเซอร์ทำลายชั้นหนังกำพร้าของใบหน้า และขณะเดียวกันกระตุ้นให้ชั้นหนังแท้สร้างคอลลาเจนขึ้นมาซ่อมแซมใบหน้าในส่วนที่เสียหาย ซึ่งวิธีนี้อาจทำให้เกิดรอยแดง หรืออาการคันยิบ ๆ บนใบหน้า หรืออาจเป็นสะเก็ดหลังการรักษา แต่นับว่าเป็นวิธีที่ค่อนข้างได้ผลดี
- ลอกผิวด้วยกรด เป็นการใช้สารเคมีทาลงบนใบหน้าของคนไข้ ทั้งทาบาง ๆ บนผิวหน้า หรืออาจจะทาให้หนาขึ้น รวมทั้งทาเพื่อให้ซึมลึกลงไปบนชั้นผิว ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และลักษณะของหลุมสิว แต่โดยปกติแพทย์มักแนะนำให้ทาบาง ๆ วิธีนี้ใช้เพื่อกระตุ้นให้ผิวหน้าลอก และเกิดการสร้างผิวหนังขึ้นมาใหม่ซึ่งมักแข็งแรงกว่าผิวหนังที่ลอกออกไป และทำให้ใบหน้าเรียบเนียนกว่าเดิม
- กรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี คือการกรอชั้นผิวหนังกำพร้าบนใบหน้าออก ด้วยเครื่องมือกรอผิว เพื่อเผยให้เห็นชั้นผิวหนังชั้นถัดมาที่เรียบหรือเนียนกว่า วิธีนี้อาจทำให้รู้สึกเจ็บ ใบหน้าแดง และทำให้ผิวหนังบอบบางไม่ทนต่อแสงแดด
- การใช้ลูกกลิ้งนวดหน้า เพื่อให้เกิดรอยแผลขนาดเล็กบนใบหน้า จากเข็มเล็ก ๆ ของลูกกลิ้ง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนบนใบหน้า ทำให้รอยหลุมสิวตื้นขึ้น
- การผ่าตัด ทำได้หลายวิธี เช่น การตัดรอยหลุมสิวออกแล้วเย็บแผลติดกัน เหมาะสำหรับหลุมสิวขนาดเล็ก จำนวนไม่มาก การปิดหลุมสิวโดยใช้เนื้อเยื่อจากบริเวณอื่น การผ่าตัดยกหลุมสิวขึ้น (Punch Elevation) การรักษาด้วยการผ่าตัดมักเหมาะกับหลุมสิวขนาดไม่เกิน 3 มิลลิเมตร
- ฉีดฟิลเลอร์ หมายถึง การฉีดคอลลาเจน ไขมัน และสารอื่น ๆ เข้าใต้ผิวหนัง เพื่อเติมเต็มบริเวณที่เป็นหลุม อาจทำร่วมกับการตัดผังผืด
- การกระชับผิว โดยใช้คลื่นความถี่วิทยุ ทำให้หน้าเต่งตึง เรียบเนียน วิธีนี้จะไม่ทำให้ผิวหนังลอก
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลตัวเอง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันการเกิดหลุมสิว
วิธีเบื้องต้นเพื่อป้องกันการเกิดหลุมสิว อาจเริ่มต้นด้วยการดูแลตัวเองไม่ให้เป็นสิวอันเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยอาจปฏิบัติตัว ดังนี้
- ดูแลหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ ด้วยการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น และอาจใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าที่อ่อนโยนไม่ระคายเคืองต่อผิวและเหมาะกับสภาพผิวร่วมด้วย นอกจากนี้ ในกรณีล้างหน้าด้วยสบู่ ควรหลีกเลี่ยงสบู่ซึ่งมีฤทธิ์แรง เพราะอาจทำให้ผิวหน้าแสบหรืออักเสบได้
- ค่อย ๆ เช็ดหน้า อย่าถูหน้าแรง ๆ โดยเฉพาะหลังจากล้างหน้า ควรซับด้วยผ้าเนื้อเนียนนุ่ม เพื่อไม่ให้ผิวหน้าระคายเคือง
- เลือกใช้เวชสำอาง หรือเครื่องสำอางที่ช่วยลดการเกิดสิว เช่น เครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือเครื่องสำอางที่ฉลากเขียนว่า “Non-Comedogenic” ซึ่งหมายถึงผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ไม่มีส่วนผสมที่ทำให้เกิดภาวะรูขุมขนอุดตัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว
- ป้องกันตัวเองจากแสงแดด อันเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวและอาการระคายเคืองบนใบหน้า โดยอาจเลือกออกนอกบ้านในเวลาที่แสงแดดไม่จัดเกินไป หรือใช้ครีมกันแดดเมื่อต้องออกนอกบ้าน ควรเลือกครีมกันแดดประเภทเวชสำอาง หรือมีฉลาก “Non-Comedogenic”
- ไม่กดหรือบีบสิว ในกรณีเป็นสิว การกดหรือบีบจะทำให้สิวอักเสบจะทำให้การอักเสบขวางวงกว้างขึ้น จนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดหลุมสิวบนใบหน้า อาจใช้ยาแต้มหรือปล่อยให้สิวยุบเอง หากสิวอักเสบขั้นรุนแรงควรปรึกษาคุณหมอผิวหนังเฉพาะทาง