โรคงูสวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่าวาริเซลาซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus) ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส หลังหายจากอีสุกอีใส เชื้อจะซ่อนอยู่ในปมประสาท และหากภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เชื้อจะแบ่งตัวและเพิ่มจำนวน ส่งผลให้เป็นโรคงูสวัด อาการคือ ปวดและมีผื่นหรือตุ่มใสขึ้นตามแนวเส้นประสาท อาจเกิดขึ้นที่ใบหน้า แขน ขา หรือชายโครง การรักษาโรคงูสวัดอาจรักษาตามอาการ ให้ยาต้านไวรัส เป็นต้น แต่เป็นโรค งูสวัดกี่วันหาย อาจขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค สุขภาพร่างกาย และการดูแลตัวเองของผู้ป่วยด้วย
[embed-health-tool-bmi]
โรคงูสวัด คืออะไร
โรคงูสวัด คือ โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลาซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus หรือ VZV) ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส แม้จะรักษาโรคอีสุกอีใสหายแล้ว แต่เชื้อไวรัสจะยังซ่อนอยู่ในปมประสาท เมื่ออายุมากขึ้นหรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจทำให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวและเพิ่มจำนวน จนส่งผลให้เป็นโรคงูสวัดได้
อาการของงูสวัด
อาการของโรคงูสวัดอาจมีดังนี้
- ปวดแสบปวดร้อนบริเวณผิวหนังตามแนวเส้นประสาท
- มีตุ่มน้ำใส หรือผื่นแดงคันตามแนวเส้นประสาท ซึ่งมักปรากฏหลังมีอาการปวดประมาณ 2-3 วัน
- ปวดเมื่อยร่างกาย
- ผิวบริเวณตุ่มหรือผื่นไวต่อการสัมผัส
- เหนื่อยล้า
- ปวดศีรษะ
- เป็นไข้
- ท้องเสีย
นอกจากนี้ โรคงูสวัดยังอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น
- ปัญหาการมองเห็นหรือสูญเสียการมองเห็น หากมีผื่นขึ้นที่ดวงตาหรือรอบดวงตา
- การติดเชื้อที่ผิวหนัง หากแผลตุ่มน้ำใสจากงูสวัดไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้ผิวหนังติดเชื้อแบคทีเรีย
- อาการปวดเส้นประสาทหลังเป็นงูสวัด (Post-herpetic Neuralgia หรือ PHN) คือ อาการปวดในบริเวณที่เป็นผื่นจากโรคงูสวัดแม้ผื่นจะหายไปแล้ว โดยปกติอาการมักดีขึ้นใน 2-3 สัปดาห์หรือหลายเดือน
งูสวัดกี่วันหาย
ผื่นงูสวัดมักแตกและแห้งไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์โดยไม่ต้องรักษา แต่อาจต้องใช้เวลาประมาณ 2-8 สัปดาห์จึงจะหายสนิท ส่วนอาการอื่น ๆ จะค่อย ๆ บรรเทาลงเมื่อเวลาผ่านไป
ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด
หากเป็นโรคงูสวัดแล้วมีอาการหรือภาวะต่อไปนี้ ควรเข้าพบคุณหมอทันที
- ผื่นขึ้นบนใบหน้า เพราะอาจทำลายกระจกตา หรือส่งผลต่อการมองเห็นได้
- ผื่นขึ้นพร้อมกับมีอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน หูอื้อ มองเห็นภาพซ้อน ใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก สับสน วิตกกังวล
- เจ็บหรือปวดบริเวณบาดแผลอย่างรุนแรง
- ผิวหนังบริเวณที่เป็นงูสวัดติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอาจสังเกตได้จากอาการบวม แดงที่ผิวหนัง มีไข้สูง เป็นต้น
- ผื่นที่เป็นอยู่ไม่บรรเทาลง แม้เวลาผ่านไปแล้วประมาณ 10 วัน
สาเหตุของโรคงูสวัด
โรคงูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลาซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus หรือ VZV) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส ผู้ที่เป็นโรคอีสุกอีใสอาจเป็นโรคงูสวัดได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสยังคงแฝงอยู่ในปมประสาท หากภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง อาจทำให้เชื้อไวรัสชนิดนี้ที่แฝงตัวอยู่แบ่งตัวและเพิ่มจำนวน ทำให้เส้นประสาทอักเสบ จนเกิดเป็นโรคงูสวัด ส่งผลให้ปวดและมีตุ่มหรือผื่นขึ้นที่ผิวหนังบริเวณแนวเส้นประสาทโดยปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ได้แก่
- อายุเกิน 50 ปี
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
- เข้ารับการฉายรังสีหรือทำเคมีบำบัด
- มีปัญหาสุขภาพ เช่น ติดเชื้อเอชไอวี มะเร็ง
- ใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ เพรดนิโซน (Prednisone) ยากดภูมิคุ้มกัน
การรักษาโรคงูสวัด
วิธีรักษาและดูแลอาการของโรคงูสวัด อาจมีดังนี้
- รับประทานยาต้านไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) แฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) เพื่อชะลอการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
- ใช้ยาบรรเทาอาการปวดและลดผื่น เช่น ยากันชัก อย่างกาบาเพนติน ยาต้านเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก อย่างอะมิทริปไทลีน ยาชา อย่างลิโดเคนในรูปแบบครีม เจล สเปรย์ แผ่นแปะ เป็นต้น โดยคุณหมออาจแนะนำให้รับประทานยาภายใน 3 วันหลังเริ่มมีผื่นขึ้น
- ประคบแผลด้วยน้ำเกลือ ครั้งละประมาณ 10 นาที 3-4 ครั้ง/วัน อาจช่วยให้แผลแห้งเร็วขึ้น
- อาบน้ำให้สะอาด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรีย
การป้องกันโรคงูสวัด
วิธีการต่อไปนี้ อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคงูสวัดได้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผื่น หรือตุ่มน้ำของผู้ป่วยโรคงูสวัด
- ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป