backup og meta

น้ำในหูไม่เท่ากัน ลดการกินเค็มอาจช่วยได้

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย เนตรนภา ปะวะคัง · แก้ไขล่าสุด 14/10/2020

    น้ำในหูไม่เท่ากัน ลดการกินเค็มอาจช่วยได้

    น้ำในหูไม่เท่ากัน ไม่ใช่โรคที่ควรมองข้าม เพราะอาการของโรค เช่น เวียนศีรษะแบบบ้านหมุน คลื่นไส้อาเจียน หูอื้อ ฟังไม่ค่อยได้ยิน ล้วนแต่สร้างปัญหาในการใช้ชีวิตให้กับผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ได้ทั้งสิ้น แต่รู้หรือไม่ว่า เพียงแค่คุณใส่ใจในการกิน โดยกินอาหารรสเค็มให้น้อยลง เพื่อลดปริมาณโซเดียมในร่างกาย อาการน้ำในหูไม่เท่ากันก็สามารถดีขึ้นได้ Hello คุณหมอ จะพาคุณไปดูกัน

    โรค น้ำในหูไม่เท่ากัน คืออะไร

    โรคน้ำในหูชั้นในผิดปกติ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Ménière disease) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นใน เนื่องจากของเหลวภายในหูชั้นใน ที่คอยกระตุ้นประสาทรับความรู้สึกมีปริมาณมากเกินไป หรือเกิดสภาวะบวมคั่งอยู่ภายในหูชั้นใน จนปิดกั้นอวัยวะสำคัญที่คอยทำหน้าที่ควบคุมระบบการทรงตัวและการได้ยิน ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาด้านการทรงตัวและการได้ยิน โดยอาจมีอาการดังนี้

    อาการหลัก

  • เวียนศีรษะแบบบ้านหมุน (Vertigo)
  • มีเสียงอื้อในหู (Tinnitus)
  • ได้ยินไม่ค่อยชัด
  • รู้สึกแน่นในหูแบบเป็น ๆ หาย ๆ
  • อาการร่วม

    ผู้ป่วยโรคน้ำในหูไม่เท่ากันส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัย 20-50 ปี โดยเริ่มแรกจะมีอาการที่หูเพียงข้างเดียว อาการแต่ละครั้งจะยาวนานตั้งแต่ 20 นาที ถึง 4 ชั่วโมง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการจะค่อย ๆ แย่ลง จนอาจถึงขั้นมีเสียงอื้อในหู หรือสูญเสียการได้ยินถาวร

    การกินเค็มกับโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

    แม้การกินอาหารรสเค็มจะไม่ใช่สาเหตุของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่หากคุณกำลังป่วยเป็นโรคนี้อยู่ การกินอาหารรสเค็มจัด จะทำให้ร่างกายคุณจะได้รับปริมาณโซเดียมมากเกินไป จนอาจส่งผลให้อาการโรคน้ำในหูไม่เท่ากันของคุณแย่ลงได้

    เนื่องจากโซเดียมทำให้เกิดภาวะบวมคั่งของของเหลวในหูชั้นใน ซึ่งเกี่ยวข้องระบบการทรงตัวและการได้ยิน เมื่อปริมาณของเหลวดังกล่าวเสียสมดุล จะเกิดแรงดันภายในหู ซึ่งเป็นอาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันนั่นเอง

    ลดเค็ม… ลดอาการโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

    การลดปริมาณโซเดียมในอาหาร หรือกินเค็มให้น้อยลงสามารถช่วยลดแรงดันในหูชั้นใน ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยลดอาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน คุณควรลดการบริโภคโซเดียมให้เหลือไม่เกินวันละ 1,500-2,000 มิลลิกรัม หรือเท่ากับเกลือประมาณ ¾ ช้อนชา (4 กรัม) โดยทำตามวิธีดังนี้

    • ก่อนซื้ออาหาร ควรสังเกตปริมาณโซเดียมบนฉลากอาหาร และมองหาคำว่า “โซเดียมต่ำ” “ไร้โซเดียม” “ไม่เติมเกลือ” “ไม่มีเกลือเพิ่ม” เป็นต้น
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารกึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว เนื้อสัตว์แปรรูป น้ำผลไม้เข้มข้น อาหารหมักดอง
    • หากทำอาหารกินเอง ควรลดหรืองดใส่เครื่องปรุงที่มีโซเดียมสูง เช่น เกลือ ผงปรุงรส ผงชูรส น้ำปลา ซอสปรุงรส
    • ไม่วางกระปุกเกลือไว้บนโต๊ะอาหาร เพื่อลดโอกาสที่คุณจะเติมเกลือในอาหารก่อนกิน
    • หากกินอาหารนอกบ้าน ควรแจ้งร้านอาหารให้ลดหรืองดใส่เครื่องปรุง เช่น เกลือ น้ำปลา ผงชูรส
    • หากต้องกินยาลดกรด ควรเลือกยี่ห้อที่ไม่มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ

    นอกจากลดการรับประทานอาหารที่มีรสเค็มแล้ว การกินอาหารและน้ำในปริมาณใกล้เคียงกันทุกวัน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยรักษาระดับของเหลวในหูชั้นใน และช่วยไม่ให้อาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันของคุณแย่ลงได้

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    ทีม Hello คุณหมอ


    เขียนโดย เนตรนภา ปะวะคัง · แก้ไขล่าสุด 14/10/2020

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา