หลายคนอาจมีคำถามว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน เกิดจากภาวะดื้อฮอร์โมนชนิดใด คำตอบคือ โรคเบาหวานเกิดจากภาวะดื้อฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยอินซูลินช่วยดึงนำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อเผาผลาญเปลี่ยนเป็นพลังงาน หากมีภาวะดื้ออินซูลิน ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญน้ำตาลได้ตามปกติจึงส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น จนเกิดเป็นโรคเบาหวานในที่สุด
ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน เกิดจากภาวะดื้อฮอร์โมนชนิดใด
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากภาวะดื้อฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin Resistance) ซึ่งถูกสร้างจากตับอ่อนมีหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยอินซูลินช่วยดึงนำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อเผาผลาญเปลี่ยนเป็นพลังงาน และช่วยนำน้ำตาลบางส่วนมาสำรองเก็บไว้ที่ตับ ในรูปของไกลโคเจน (Glycogen) จึงเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป หากร่างกายมีภาวะดื้ออินซูลิน คือ เซลล์ในร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่ออินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เเม้จะมีอินซูลินเพียงพอ เเต่เซลล์ก็ไม่สามารถนำน้ำตาลไปเผาผลาญได้เหมาะสม จึงส่งผลให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง โดยทั่วไป ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง ในเกณฑ์ปกติจะมีค่าไม่เกิน99 มิลลิกรัม/เดซิลิต หากพบว่าน้ำตาลในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ดังกล่าว อาจมีภาวะก่อนเบาหวาน หรือ อาจเข้าข่ายเป็นโรคเบาวหวานได้
สัญญาณของภาวะดื้ออินซูลิน
อาการที่เป็นสัญญาณของภาวะดื้ออินซูลิน อาจมีดังนี้
- รอบเอวหนา โดยผู้หญิงมีรอบเอวมากกว่า 35 นิ้ว และผู้ชายมีรอบเอวมากกว่า 40 นิ้ว
- ความดันโลหิตสูงตั้งเเต่ 130/80 มิลลิเมตรปรอท (mmHg) ขึ้นไป โดยความดันโลหิตทั่วไปจะไม่เกิน 130/80 มีระดับภาวะก่อนเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหาร 8 ชั่วโมงอาหารมากกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงกว่าก่อนรับประทานอาหารมากกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ต่ำกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ในเพศหญิง และต่ำกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ในเพศชาย
- มีผื่นผิวหนังเป็นรอบปื้นสีคล้ำหนาที่เรียกว่าโรคผิวหนังช้าง (Acanthosis Nigricans) โดยสีมักพบบริเวณข้อพับต่าง ๆ เช่น ด้านหลังคอ รักแร้ หรือขาหนีบ
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน อาจมีดังนี้
- โรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน โดยเฉพาะผู้ที่มีไขมันหน้าท้องหรืออ้วนลงพุง
- คนที่ไม่ค่อยขยับร่างกายหรือออกกำลังกาย
- รับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงเป็นประจำ
- เคยเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- มีคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน
- สูบบุหรี่
- อายุมากกว่า 45 ปี
- ใช้ยารักษาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาต้านซึมเศร้า ยาต้านเชื้อเอชไอวี
- โรคนอนกรน หรือ โรคหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)
- ภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease)
- ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome หรือ PCOS)
บทบาทของอินซูลินต่อโรคเบาหวาน
ฮอร์โมนอินซูลินเป็นฮอร์โมนหลักในการเกิดโรคเบาหวาน เนื่องจากมีหน้าทีกระตุ้นในเซลล์ดึงน้ำตาลในเลือดเข้าไปเผาผลาญเป็นพลังงาน ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ และรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เมื่อฮอร์โมนอินซูลินเสียสมดุลจะทำให้เกิดโรคเบาหวานได้
- โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นโรคเบาหวานที่พบบ่อยในเด็กและวัยรุ่น แต่อาจพบในคนวัยอื่นได้เช่นกัน โรคนี้เกิดจากเซลล์ตับอ่อนที่ชื่อว่า เบต้าเซลล์ (Beta Cell) ถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ วิธีรักษา คือ การฉีดอินซูลินทดแทนเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคเบาหวานชนิดที่พบได้ราว 95% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด สามารถพบได้กับคนทุกเพศทุกวัย มีสาเหตุหลักจากร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน คือการที่เซลล์ในร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่ออินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เเม้จะมี อินซูลินเพียงพอในร่างกาย เเต่เซลล์ก็ไม่สามารถนำน้ำตาลไปเผาผลาญได้เหมาะสม จึงส่งผลให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง โดยทั่วไปสามารถรักษาด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการรับประทานยาลดระดับน้ำตาลในเลือด
[embed-health-tool-bmi]