พัฒนาการทารกในครรภ์ สัปดาห์ที่ 24 นี้ ทารกในครรภ์อาจมีขนาดตัวเท่ากับแครอท โดยมีความสูงประมาณ 30 เซนติเมตร และมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากอายุครรภ์สัปดาห์ที่ 23 อีกประมาณ 113 กรัม ซึ่งทารกยังคงต้องรับออกซิเจนผ่านทางสายรก แต่เมื่อคลอดออกมา ปอดของทารกจะเริ่มสูดเอาออกซิเจนเข้าไปทันที และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม ปอดของทารกอาจเริ่มผลิตสารลดแรงตึงผิวออกมา ซึ่งสารชนิดนี้จะช่วยเก็บถุงลมเอาไว้ในปอด โดยไม่ทำให้เกิดการรั่วไหล ทั้งยังช่วยให้หายใจได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย
[embed-health-tool-pregnancy-weight-gain]
พัฒนาการทารกในครรภ์ สัปดาห์ที่ 24
ทารกในครรภ์จะเติบโตอย่างไร
สำหรับพัฒนาการทารกในครรภ์ สัปดาห์ที่ 24 นี้ ทารกในครรภ์อาจมีขนาดตัวเท่ากับแครอท โดยมีความสูงประมาณ 30 เซนติเมตร และมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากอายุครรภ์สัปดาห์ที่ 23 อีกประมาณ 113 กรัม
ทารกยังคงต้องรับออกซิเจนผ่านทางสายรก แต่เมื่อคลอดออกมา ปอดของทารกจะเริ่มสูดเอาออกซิเจนเข้าไปทันที และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม ปอดของทารกอาจเริ่มผลิตสารลดแรงตึงผิวออกมา ซึ่งสารชนิดนี้จะช่วยเก็บถุงลมเอาไว้ในปอด โดยไม่ทำให้เกิดการรั่วไหล ทั้งยังช่วยให้หายใจได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย
หูชั้นในซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยควบคุมความสมดุลของร่างกายอาจพัฒนาเต็มที่แล้ว ทารกในครรภ์อาจเริ่มรับรู้ได้ว่า ตอนนี้ตัวเองกำลังลอยตัวอยู่ในน้ำคร่ำในท่าหัวทิ่มหรือหัวตั้ง
ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและรูปแบบการใช้ชีวิต
ร่างกายจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
โดยปกติแล้ว ในช่วงสัปดาห์ที่ 24 ถึง 28 ของการตั้งครรภ์ คุณแม่ตั้งครรภ์จะต้องเข้ารับการตรวจวัดระดับน้ำตาล ซึ่งจะช่วยให้คุณหมอทราบได้ว่า คุณแม่เป็นโรคเบาหวานในช่วงตั้งครรภ์หรือไม่ หากคุณแม่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ อาจเพิ่มความเสี่ยงให้คุณแม่ต้องคลอดด้วยการผ่าคลอด เนื่องจาก โรคนี้อาจทำให้ทารกมีขนาดตัวใหญ่กว่าปกติ ทั้งยังอาจส่งผลให้ทารกแรกเกิดมีปัญหาสุขภาพ เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
หากคุณหมอตรวจพบว่า คุณแม่ตั้งครรภ์มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง อาจต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมอีกหลายอย่าง และคุณหมออาจต้องเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมที่สุดให้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม คุณแม่ตั้งครรภ์อาจควบคุมอาการของโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ ด้วยการวางแผนรับประทานอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกายเป็นประจำ รักษาด้วยการใช้ยา เช่น ฉีดอินซูลิน (Insulin) ทุกวัน
ควรระมัดระวังอะไรบ้าง
เวลาที่หน้าท้องขยายใหญ่ขึ้น ผิวหนังจะสูญเสียความชุ่มชื้น อาจทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์เกิดอาการคันพุงหรือหน้าท้อง หรือรู้สึกไม่สบายตัว แต่คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องพยายามอย่าเกา เพราะยิ่งเกาก็จะยิ่งคัน และอาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง หรือเกิดแผล ทั้งยังเสี่ยงติดเชื้อได้อีกด้วย คุณแม่ตั้งครรภ์ควรทาครีมบำรุงผิว หรือน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ โดยเฉพาะที่บริเวณหน้าท้อง เพื่อให้ผิวชุ่มชื่นขึ้น และช่วยลดอาการคันได้ แต่หากลองบรรเทาอาการคันด้วยการทาครีมบำรุงผิวแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีผื่นขึ้นที่หน้าท้อง ควรรีบไปพบคุณหมอ เพื่อจะได้ตรวจสอบอย่างละเอียด
การพบคุณหมอ
ควรปรึกษาคุณหมออย่างไรบ้าง
ในช่วงเวลานี้มดลูกจะเริ่มปรับตัวให้พร้อมสำหรับการคลอดลูก มดลูกอาจเริ่มมีการบีบตัว จึงอาจทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์รู้สึกเหมือนมีอะไรมากดอยู่ตรงยอดมดลูกหรือท้องน้อย การบีบรัดตัวของมดลูกอาจมีระยะเวลาและความรุนแรงแตกต่างกันไป ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์บางคนอาจสับสนว่านี้คือ การเจ็บท้องหลอก หรือ เจ็บท้องจริงเนื่องจากใกล้คลอด
โดยความแตกต่างที่สามารถสังเกตได้ ก็คือ การเจ็บท้องหลอก ปากมดลูกจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น แต่หากเป็นการเจ็บท้องคลอดจริง ปากมดลูกจะเปิดออกพร้อมมีมูกไหลออกมาจากช่องคลอด และจะรู้สึกเจ็บปวดนานกว่าปกติ
ฉะนั้นหากไม่แน่ใจ หรือคิดว่าตัวเองเจ็บท้องใกล้คลอด ควรรีบไปพบคุณหมอทันที
การทดสอบที่ควรรู้
การไปพบคุณหมอตามนัด ถือเป็นเรื่องปกติของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มาจนถึงสัปดาห์ที่ 24 โดยคุณหมออาจให้ตรวจร่างกายตามรายการต่าง ๆ ดังนี้
- การชั่งน้ำหนักและวัดความดันโลหิต
- การตรวจปัสสาวะ เพื่อหาระดับน้ำตาลและโปรตีน
- การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
- การวัดขนาดมดลูก โดยการคลำจากภายนอก เพื่อดูว่าใกล้ถึงกำหนดคลอดหรือยัง
- วัดความสูงของยอดมดลูก
- การตรวจสอบอาการต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับ โดยเฉพาะอาการที่ผิดปกติ
คุณแม่ตั้งครรภ์บางรายอาจต้องมีการตรวจร่างกายนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น หากมีข้อสงสัยใด ๆ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ในช่วงสัปดาห์ที่เหลือ หรือการคลอดบุตร ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจนที่สุด
สุขภาพและความปลอดภัย
ควรทำอย่างไรเพื่อให้สุขภาพดีและปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์
ปัญหาหนึ่งที่คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่อาจพบก็คือ ปัญหาท้องอืด อาหารไม่ย่อย ซึ่งอาจจัดการกับปัญหานี้ได้ด้วยการใช้ยาลดกรด โดยต้องใช้ยาตามที่คุณหมอแนะนำอย่างเคร่งครัด และต้องไม่รับประทานยาเกินขนาดที่ระบุไว้บนฉลาก แต่ไม่ควรกินยาลดกรดมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้