คำจำกัดความ
เยื่อบุช่องปากอักเสบคืออะไร
เยื่อบุช่องปากอักเสบ (Stomatitis) คือ อาการเจ็บหรืออักเสบที่เกิดขึ้นภายในช่องปาก เกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณกระพุ้งแก้ม เหงือก ด้านในริมฝีปาก หรือบนลิ้น ภาวะเยื่อบุช่องปากอักเสบหลักๆ สองประเภทคือ เริมในช่องปาก (Herpes Stomatitis หรือ Cold Sore) และ แผลร้อนใน (Aphthous stomatitis)
เยื่อบุช่องปากอักเสบพบได้บ่อยได้แค่ไหน
ภาวะเยื่อบุช่องปากอักเสบเป็นโรคที่พบได้ทั่วไป สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดปรึกษาแพทย์
อาการ
อาการเยื่อบุช่องปากอักเสบเป็นอย่างไร
อาการทั่วไปมีดังนี้
- มีแผลในช่องปากเป็นชั้นสีขาวหรือเหลือง ฐานเป็นสีแดง ปกติแล้วจะพบได้ที่ด้านในริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม หรือบนลิ้น
- มีรอยปื้นสีแดง
- มีตุ่มพอง
- บวม
- ความรู้สึกไม่สบายในช่องปาก เช่น อาการปวดแสบปวดร้อน
- โดยปกติแผลจะหายภายใน 4-14 วัน และมักจะกลับมาเป็นอีกครั้ง
อาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ โปรดปรึกษาหมอของคุณ
ควรไปพบหมอเมื่อไร
ถ้าคุณมีอาการใดๆ ที่กล่าวมาข้างต้น หรือมีข้อสงสัยใดๆ ควรปรึกษากับคุณหมอ เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดจึงควรพูดคุยกับหมอเพื่อหาแนวทางในการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
สาเหตุ
สาเหตุของเยื่อบุช่องปากอักเสบ
การติดเชื้อไวรัส herpes simplex 1 (HSV-1) คือสาเหตุของโรคเริม พบมากในเด็กช่วงอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี คนที่ได้รับเชื้อ HSV-1 อาจกลายเป็นโรคเริมได้ในภายหลัง เชื้อไวรัส HSV-1 นั้นเกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัส HSV-2 ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดเริมที่บริเวณอวัยวะเพศ แต่ไม่ใช่ไวรัสชนิดเดียวกัน
ร้อนใน คือแผลขนาดเล็กเกิดขึ้นที่บริเวณกระพุ้งแก้ม เหงือก ด้านในริมฝีปาก หรือบนลิ้น พบมากในกลุ่มคนอายุน้อยๆ ส่วนใหญ่ในช่วงวัย 10 ถึง 19 ปี
ร้อนในไม่ได้เกิดจากไวรัสและไม่ใช่โรคติดต่อ แต่เกิดจากปัญหาเรื่องความสะอาดภายในช่องปาก หรือบาดแผลที่เกิดขึ้นที่เยื่อเมือกบุผิว สาเหตุอาจจะเกิดได้จาก
- เนื้อเยื่อเกิดความแห้ง เนื่องจากช่องจมูกอุดตันทำให้ต้องหายใจทางปาก
- บาดแผลขนาดเล็กจากทันตกรรม เผลอกัดแก้มจนเป็นแผล หรือการบาดเจ็บอื่นๆ
- ผิวฟันที่คม เหล็กดัดฟัน ฟันปลอม และรีเทนเนอร์
- โรคแพ้กลูเตน (Celiac Disease)
- การแพ้อาหารจำพวกสตอวเบอร์รี่ ผลไม้ตระกูลส้ม กาแฟ ช็อกโกแลต ไข่ ชีส หรือถั่ว
- อาการแพ้แบคทีเรียบางชนิดในช่องปาก
- โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
- โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองที่โจมตีเซลล์ในช่องปาก
- เอชไอวี/เอดส์
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ขาดวิตามิน b-12 กรดโฟลิก ธาตุเหล็ก และธาตุสังกะสี
- ยาบางชนิด
- ความเครียด
- การติดเชื้อราแคนดิดา อัลบิแคนส์
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเยื่อบุช่องปากอักเสบ
โปรดปรึกษากับคุณหมอเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์ ทุกครั้ง เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยโรคเยื่อบุช่องปากอักเสบ
การวินิจฉัยโรคจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค การตรวจหาโรคจะมีทั้งการตรวจร่างกายภายนอก ซึ่งหมอจะตรวจดูลักษณะและการแพร่กระจายของบาดแผล และนอกจากนี้ยังอาจมีการทดสอบแบบอื่น เช่น
- ใช้ชุดอุปกรณ์สัมผัสทดสอบหาเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
- ขูดหรือป้ายเนื้อเยื่อเพื่อตรวจสอบการติดเชื้อรา
- ตัดชิ้นเนื้อเยื่อหรือเซลล์เพื่อนำไปศึกษาเพิ่มเติม
- ตรวจเลือด
- ทดสอบผิวหนังเพื่อหาอาการแพ้
คุณหมออาจจะตรวจสอบประวัติการรักษาเพื่อดูว่ามีการรักษาใดที่อาจก่อให้เกิดปัญหาเยื่อบุในช่องปากอักเสบ นอกจากนี้ยังจะสอบถามเรื่องประวัติการมีเพศสัมพันธ์ หรือประวัติการสูบบุหรี่อีกด้วย
ปัจจัยอื่นๆ อาจก่อให้เกิดอาการอักเสบของเยื่อบุในช่องปากได้ ดังนั้น การตรวจสอบและวินิจฉัยโรคจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อที่หมอจะได้ให้การรักษาที่ถูกต้อง
วิธีรักษาเยื่อบุช่องปากอักเสบ
โดยปกติแล้วอาการอักเสบในช่องปากมักจะเป็นไม่นานเกินสองสัปดาห์ แม้จะไม่ได้รับการรักษาก็ตาม ถ้าสามารถหาสาเหตุของโรคได้ หมอก็จะรักษาให้ตรงจุด แต่ถ้าไม่สามารถหาสาเหตุได้ การรักษาก็จะไปเน้นที่การบรรเทาอาการเจ็บแทน
วิธีการต่อไปนี้อาจช่วยลดอาการปวดและอักเสบของปากได้
- หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มร้อน เค็ม เผ็ด และอาหารที่มีส่วนผสมของมะนาว
- ใช้ยาบรรเทาอาการปวด เช่น ไทลินอล (Tylenol) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
- บ้วนปากด้วยน้ำเย็น หรืออมน้ำแข็งถ้าหากมีอาการแสบร้อนในปาก
สำหรับอาการร้อนใน ให้เน้นไปที่การบรรเทาอาการหรือป้องกันการติดเชื้อ ดังเช่น
- ดื่มน้ำให้มากขึ้น
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ
- ดูแลช่องปากให้ถูกต้อง
- ใช้ยาชาเฉพาะที่ เช่น ไลโดเคน (Lidocaine) หรือ ไซโลเคน (Xylocaine) ที่บริเวณแผล (ไม่แนะนำสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี)
- ใช้ยาคอร์ติโคสตีรอยด์ (Corticosteroid) เฉพาะที่ เช่น ยาป้ายปากไตรแอมซิโนโลน (ยาเคนาล็อกป้ายปาก 0.1%) ซึ่งช่วยป้องกันการอักเสบบริเวณริมฝีปากและเหงือก นอกจากนี้ลิปบาล์ม Blistex และยา Campho-Phenique ก็อาจจะลดอาการอักเสบของร้อนในได้ โดยเฉพาะถ้าทาตั้งแต่เริ่มมีอาการ
สำหรับการอักเสบที่รุนแรงอาจรักษาได้โดย
- เจล Lidex
- ยารักษาแผลเปื่อย Aphthasol
- น้ำยาบ้วนปาก Peridex
ถ้าคุณมีอาการร้อนในบ่อยครั้ง คุณอาจจะขาดโฟเลต หรือวิตามิน B-12 ลองปรึกษาหมอเรื่องการตรวจหาอาการขาดสารอาหารนี้
ยาแก้อักเสบ เช่น ยาคอร์ติโคสตีรอยด์ (รวมไปถึงยาเพรดนิโซน) ใช้รักษาอาการร้อนในได้ผลดีที่สุด เพราะยาจะช่วยลดอาการปวดบวม นอกจากนี้ยังสามารถใช้กับอาการของโรคเริมที่เป็นมานานกว่าสามถึงสี่วันได้อีกด้วย เนื่องจากเมื่อถึง ณ จุดนั้น ตัวเชื้อโรคได้หายไปแล้ว เหลือไว้แต่อาการอักเสบ
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถใช้ยาแก้อักเสบชนิดเดียวกันได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากใช้ยาเพรดนิโซนนั้นกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการกินยาชนิดใหม่
โรคเริมไม่สามาถรักษาให้หายขาดได้ การดูแลจะมีดังนี้
- ใช้ยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valtrex) เมื่อเริ่มมีอาการ
- ทาครีมหรือขี้ผึ้งบริเวณแผลเพื่อป้องกันเชื้อโรค เช่น ครีมอะไซโคลเวียร์ (acyclovir) 5%
- ประคบเย็นบริเวณบาดแผล
- การกินยาแอล-ไลซีน (L-lysine) หรือยาต้านไวรัสที่แพทย์สั่งให้ อาจจะช่วยได้ประมาณหนึ่ง เนื่องจากตัวยาจะช่วยลดเวลาการรักษาแผลให้เร็วขึ้น.
ไม่ใช่แผลในปากทุกชนิดที่เป็นอันตราย ควรไปหาหมอถ้าหากอาการอักเสบในช่องปากนั้นไม่หายภายในสองสัปดาห์
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ และการเยียวยาตนเอง
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือการเยียวยาตนเองแบบไหนที่จะช่วยรักษาอาการเยื่อบุช่องปากอักเสบ
ลักษณะไลฟ์สไตล์และการเยียวยาด้วยตนเองต่อไปนี้อาจจะช่วยคุณรักษาอาการเยื่อบุช่องปากอักเสบได้
- ใช้น้ำยาบ้วนปากแบบฆ่าเชื้อโรคและไม่มีแอลกอฮอล์
- รักษาอาการปากแห้งเรื้อรัง
- ใช้แปรงสีฟันที่อ่อนนุ่ม
- รับประทานอาหารมีประโยชน์และดื่มน้ำให้เพียงพอ
- ดูแลสุขภาพของช่องปากอย่างสม่ำเสมอ
หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำความเข้าใจให้ดีขึ้นถึงทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]