backup og meta

การติดเชื้อที่ผิวหนัง การรักษาและการป้องกัน

การติดเชื้อที่ผิวหนัง การรักษาและการป้องกัน

การติดเชื้อที่ผิวหนัง มักเกิดขึ้นเมื่อผิวหนังแตก มีบาดแผล ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย และระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทำให้เชื้อโรคอย่างไวรัส หรือแบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนังได้ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพหรือโรคต่าง ๆ เช่น กลาก โรคน้ำกัดเท้า หากรู้จักป้องกันและดูแลตัวเองอาจช่วยให้สามารถจัดการกับการติดเชื้อที่ผิวหนังได้ดีขึ้น

[embed-health-tool-bmi]

คำจำกัดความ

การติดเชื้อที่ผิวหนัง

ผิวหนัง เป็นด่านแรกในการปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค ชั้นแรกคือ หนังกำพร้า ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันแบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต และเชื้อรา ชั้นที่สองคือ ชั้นหนังแท้ มีหน้าที่ช่วยพยุงผิว ให้สารอาหารผิวและทำให้ผิวแข็งแรง ชั้นที่สามคือ ชั้นใต้ผิวหนัง เป็นชั้นไขมันช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ และกักเก็บพลังงาน

การติดเชื้อที่ผิวหนัง มักเกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และปรสิต เข้าสู่ผิวหนังทั้งทางรูขุมขมหรือผ่านบาดแผลบนผิวหนัง เช่น ผิวหนังแตก การเจาะ การผ่าตัด แมลงกัดต่อย และหากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอก็อาจทำให้เกิด การติดเชื้อที่ผิวหนัง รุนแรงขึ้นได้

ประเภทและสาเหตุ

ประเภทและสาเหตุ การติดเชื้อที่ผิวหนัง

ประเภทการติดเชื้อที่ผิวหนังแบ่งเป็น แบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส ดังนี้

1. การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง

การติดเชื้อแบคทีเรียเกิดจาก แบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลบนผิวหนัง และความเสี่ยงมักเพิ่มขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ ประเภทของการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง มีดังนี้

  • โรคเรื้อน ทำให้เกิดแผลบนผิวหนังและทำลายเส้นประสาท สามารถติดต่อได้เมื่อสัมผัสกับละอองน้ำมูกหรือน้ำลายของผู้ที่เป็นโรคเรื้อน อาการหลักของโรคเรื้อน ได้แก่
    • เกิดแผลและชาที่ผิวหนัง
    • มีก้อนเนื้อ
    • มีตุ่ม
  • ฝีฝักบัว (Carbuncle) ส่วนใหญ่เกิดจากแบคทีเรีย Staphylococcus aureus มักเกิดการติดเชื้อในรูขุมขน สามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย และติดต่อจากคนสู่คนได้ผ่านการสัมผัสผิวหนัง หรือของใช้ส่วนตัว อาการที่พบบ่อย ได้แก่
    • มีตุ่มสีแดง มีหนอง
    • รู้สึกเจ็บปวด
    • มีไข้
    • เหนื่อยล้า
    • ผิวหนังมีอาการบวม
  • การติดเชื้อ Staph เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus ซึ่งมักเริ่มต้นด้วยการเกิดบาดแผลเล็ก ๆ อาการเจ็บปวด และแผลบวมแดง
  • โรคเซลลูไลติส (Cellulitis) เกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนังและติดเชื้อในชั้นผิวหนังแท้ ทำให้ผิวหนังมีอาการบวม แดง และปวด รวมทั้งมีหนองหรือรอยแดง
  • โรคพุพอง พบบ่อยในทารก และเด็กเล็ก มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ เกิดขึ้นตามผิวหนังทั่วร่างกาย
  • ฝี คือการติดเชื้อในรูขุมขนหรือต่อมน้ำมัน มีการเปลี่ยนแปลงเป็นก้อนเนื้อและมีหนองสะสมอยู่ใต้ผิวหนัง
  • ซีสต์ (Pilonidal Cyst) ส่วนใหญ่มักเกิดจากขนคุดใต้ผิวหนัง ภายในซีสต์มีเศษหนัง น้ำมัน และเส้นขน มักเกิดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อาจแสดงอาการปวด บวมที่ก้นและกระดูกสันหลัง มีหนองหรือเลือด หนองมีกลิ่นเหม็น มีไข้

2. การติดเชื้อราที่ผิวหนัง

มักเกิดขึ้นในบริเวณที่อับชื้น เช่น เท้า รักแร้ การติดเชื้อราบางชนิดไม่ติดต่อและไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่อาจทำให้รู้สึกระคายเคือง ผิวเป็นสะเก็ด คัน บวม แผลพุพอง การติดเชื้อราที่ผิวหนังแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้

  • กลาก เป็นการติดเชื้อที่ผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา มักเกิดขึ้นบริเวณหนังศีรษะ เล็บ และเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว มักมีอาการ ดังนี้
    • เกิดรอยแดง
    • ผิวหนังตกสะเก็ด
    • เกิดตุ่มคัน
  • โรคน้ำกัดเท้า ส่วนใหญ่มักเกิดจากเชื้อราในกลุ่ม Dermatophytes เติบโตได้ดีในพื้นที่อับชื้น เช่น เล็บ เส้นผม และผิวหนัง อาจมีอาการ ดังนี้
    • คัน เป็นผื่น ระหว่างนิ้วเท้า
    • แผลพุพอง
    • ผ่าเท้าแห้ง ลอกเป็นขุย
    • มีแผล และมีกลิ่นเหม็น
  • การติดเชื้อยีสต์ มีมากกว่า 20 ชนิด พบมากที่สุดคือ เชื้อ Candida albicans ซึ่งอาศัยอยู่บนผิวหนัง อาจแสดงอาการ ดังนี้
    • จุดสีขาวหรือเหลืองที่ลิ้น ริมฝีปาก เหงือก เพดานปาก กระพุ้งแก้ม
    • เจ็บในปากและลำคอ
    • ปวดเมื่อกลืน
  • โรคสปอโรทริโคสิส (Sporotrichosis) มักเกิดขึ้นจากสปอร์ของเชื้อราที่มาจาก สัตว์เลี้ยง ขนมปังเก่า ดิน พืช เข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการ ดังนี้
    • มีตุ่มสีชมพูไปจนถึงสีม่วง
    • เจ็บปวดเล็กน้อย
  • การติดเชื้อราที่เล็บ อาจทำให้เล็บเปราะและสีเปลี่ยน มักเกิดขึ้นที่นิ้วเท้า และอาจมีอาการอื่น ๆ เช่น
    • มีขุยสีขาวหรือเหลืองใต้เล็บ
    • เล็บหนาขึ้น
    • เล็บอาจม้วน
    • เล็บอาจเปราะและแตก
    • เล็บอาจผิดรูป
    • เล็บมีกลิ่นเหม็น

3. การติดเชื้อไวรัสที่ผิวหนัง

การติดเชื้อไวรัสที่ผิวหนังอาจมีความรุนแรงน้อยไปจนถึงรุนแรงมาก แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ไวรัสบางชนิดอาจติดต่อได้ผ่านละอองจากสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อไวรัส ประเภทการติดเชื้อไวรัสที่ผิวหนัง มีดังนี้

  • หูดข้าวสุก (Molluscum Contagiosum) ส่วนใหญ่มักเกิดกับเด็ก และผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มักมีอาการเจ็บปวดและคันตามผิวหนัง มีตุ่มเล็ก ๆ เกิดขึ้นประมาณ 2-3 เดือน หรืออาจนานเป็นปี
  • โรคอีสุกอีใส เกิดจากไวรัส varicella-zoster เป็นผื่นผิวหนังที่สร้างอาการคันและตุ่มแดง
  • โรคงูสวัด เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับอีสุกอีใส อาจแสดงอาการปวดแสบปวดร้อน ต่อมน้ำเหลืองโต และมีตุ่มสีแดงเล็ก ๆ อาจทำให้รู้สึกเจ็บปวดและคันได้

การติดเชื้อที่ผิวหนังสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ขึ้นอยู่ว่าเกิดการติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา ซึ่งมีอาการและการรักษาแตกต่างกันออกไป

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยง การติดเชื้อที่ผิวหนัง

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนัง ได้แก่

  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  • การไหลเวียนเลือดไม่ดี
  • ผู้สูงอายุ
  • โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น HIV/AIDS
  • ผู้ป่วยที่เขารับการรักษาทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น เคมีบำบัด หรือใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
  • ผู้ป่วยที่นอนท่าเดียวเป็นเวลานาน เช่น อัมพาต
  • โรคขาดสารอาหาร
  • โรคอ้วน โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวหนังพับเข้าหากันจนเสียดสี หรืออับชื้น

อาการ

อาการ การติดเชื้อที่ผิวหนัง

อาการขึ้นอยู่กับชนิดของการติดเชื้อ อาการทั่วไปที่มักพบบ่อย ได้แก่ ผื่นแดง คัน ปวด ควรเข้าพบคุณหมอหากมีตุ่มหนองหรืออาการไม่ดีขึ้น เพราะการติดเชื้อที่ผิวหนังอาจแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดและอาจทำให้เสียชีวิตได้ สัญญาณของการติดเชื้อรุนแรง ได้แก่

  • มีหนอง
  • แผลพุพอง
  • ผิวลอก แตกลาย
  • สีผิวซีดและเจ็บปวด

การวินิจฉัยและการรักษา

การวินิจฉัยการติดเชื้อที่ผิวหนัง

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

การวินิจฉัยการติดเชื้อที่ผิวหนัง มีดังนี้

  • ตรวจร่างกายและสอบถามถึงอาการ
  • อาจได้รับการทดสอบในห้องปฏิบัติการ เช่น การเพาะเลี้ยงผิวหนังเพื่อระบุชนิดของการติดเชื้อ
  • อาจได้รับการตรวจเลือด

การรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนัง

การรักษาขึ้นอยู่กับชนิดและความร้ายแรงของการติดเชื้อ เพราะการติดเชื้อบางชนิดอาจหายได้เอง หรืออาจใช้ครีมกับโลชั่นในการรักษา หากมีการติดเชื้อที่ผิวหนังเพียงเล็กน้อย และอาจรักษาด้วยการกินยาปฏิชีวนะ หรือฉีดยาหากผิวหนังมีการติดเชื้อบริเวณกว้าง สำหรับการรักษาฝีคุณหมอจะเปิดฝีเพื่อระบายหนองออกและผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่ตายแล้วออกด้วย

ไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง

ไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อป้องกัน การติดเชื้อที่ผิวหนัง

การป้องกันการติดเชื้อที่ผิวหนังเป็นการดูแลไม่ให้ผิวหนังบาดเจ็บและทำความสะอาดผิวหนัง เช่น เมื่อผิวหนังมีบาดแผลควรล้างแผลด้วยสบู่และน้ำ จากนั้นปิดแผลด้วยผ้าพันแผลปลอดเชื้อ

ควรทำความสะอาดผิวหนังทุกวันโดยการอาบน้ำเป็นประจำ เพื่อขจัดเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อยู่บนผิวหนัง และควรทำความสะอาดมือทุกครั้งก่อนหยิบจับสิ่งของหรืออาหาร

ไม่ควรใช้เสื้อผ้า หรือของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นเพราะอาจเป็นการแพร่เชื้อโรคสู่ผิวหนังได้

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

Skin Infections: Types, Causes, and Symptoms. https://www.onhealth.com/content/1/symptoms_skin_infections_treatment. Accessed August 12, 2022.

Skin Infections. https://medlineplus.gov/skininfections.html. Accessed August 12, 2022.

Skin Infections. https://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/guide/skin-problems-treatments-treatment-care. Accessed August 12, 2022.

Overview of Bacterial Skin Infections. https://www.msdmanuals.com/home/skin-disorders/bacterial-skin-infections/overview-of-bacterial-skin-infections. Accessed August 12, 2022.

Bacterial skin infections. https://dermnetnz.org/topics/bacterial-skin-infections/. Accessed August 12, 2022.

เวอร์ชันปัจจุบัน

06/03/2023

เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงภัทรีวัลย์ โรจนพันธุ์

อัปเดตโดย: เนตรนภา ปะวะคัง


บทความที่เกี่ยวข้อง

เชื้อราบนผิวหนัง เป็นสาเหตุของโรคอะไรบ้าง ป้องกันได้อย่างไร

ยาแก้คันผิวหนัง มีอะไรบ้าง


ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

แพทย์หญิงภัทรีวัลย์ โรจนพันธุ์

โรคผิวหนัง · โรงพยาบาลวิภาวดี



เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 06/03/2023

ad iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา