อาการโรคเบาหวานระยะสุดท้าย เป็นสัญญาณที่บอกถึงระยะร้ายแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้ของโรคเบาหวาน ซึ่งอาจเป็นอาการของภาวะแทรกซ้อนที่สร้างความเสียหายให้กับระบบการทำงานภายในร่างกาย ดังนั้น การสังเกตอาการโรคเบาหวานระยะสุดท้ายอาจช่วยรับมือกับการพัฒนาของโรคได้
โรคเบาหวานระยะสุดท้าย คืออะไร
โรคเบาหวาน เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระดับน้ำตาลในเลือดที่ผิดปกติ อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุขึ้นอยู่กับชนิดของโรคเบาหวาน ซึ่งโรคเบาหวานระยะสุดท้ายเป็นระยะที่รุนแรงและควบคุมไม่ได้ อาจส่งผลทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคไต ปัญหาสายตาปัญหาผิว การติดเชื้อที่รุนแรง ปัญหาช่องปาก เส้นประสาทเสียหาย และปัญหาระบบย่อยอาหาร เนื่องจากระดับน้ำตาลที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานในร่างกายหลายส่วน
อาการโรคเบาหวานระยะสุดท้าย
อาการของโรคเบาหวานระยะสุดท้ายส่วนใหญ่เป็นอาการจากภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูง และการพัฒนาของภาวะแทรกซ้อน ส่งผลเสียต่ออวัยวะภายในร่างกาย ที่อาจทำให้มีอาการดังนี้
ระดับน้ำตาลในลือดไม่สมดุล
ผู้ป่วยโรคเบาหวานระยะสุดท้ายควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล เพราะการใช้ยารักษาโรคเบาหวานหรือการควบคุมแป้งและน้ำตาลมากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ มีอาการดังนี้
- รู้สึกเหนื่อยล้า วิงเวียนศีรษะ ผิวซีด
- หิวบ่อย
- ตัวสั่น ใจสั่น ชาที่ริมฝีปาก
- อารมณ์แปรปรวน
- เห็นภาพซ้อน
- มึนงง สับสนและไม่มีสมาธิ ง่วงนอนบ่อย
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจไม่แสดงอาการในช่วงแรก แต่หากมีระดับน้ำตาลสูงขึ้นมากอาจมีอาการ ดังนี้
- รู้สึกเหนื่อยล้า
- ปากแห้ง กระหายน้ำมากขึ้น
- ปวดท้อง
- ปัสสาวะบ่อยครั้ง
- น้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ
- มองเห็นภาพซ้อน
- การติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ เชื้อราในช่องคลอด และการติดเชื้อที่ผิวหนัง
- ลมหายใจที่มีกลิ่นหวานเหมือนผลไม้
การติดเชื้อบ่อยขึ้น
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด ส่งผลให้ระบบการทำงานองร่างกายแย่ลง ซึ่งการติดเชื้อเป็นอาการโรคเบาหวานระยะสุดท้ายที่พบบ่อยและอาจรุนแรงขึ้น ทำให้แผลหายช้าลงโดยเฉพาะที่เท้า และสำหรับผู้หญิงที่เป็นโรคเบาหวานอาจเกิดการติดเชื้อราในกระเพาะปัสสาวะและช่องคลอดบ่อยครั้ง
มือและเท้าชา
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจส่งผลต่อการทำงานของเส้นประสาท ซึ่งอาจทำให้มีอาการเสียวซ่า ชาที่มือและเท้า หรือรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่แขน ขา มือ และเท้า
กระหายน้ำมากขึ้นและปัสสาวะบ่อยครั้ง
อาการโรคเบาหวานระยะสุดท้ายที่พบบ่อยคืออาการกระหายน้ำมากขึ้นและปัสสาวะบ่อยครั้ง เกิดจากน้ำตาลกลูโคสส่วนเกินสะสมอยู่ในเลือด ทำให้ไตทำงานมากขึ้นเพื่อดูดซับกลูโคสส่วนเกินนี้ กลูโคสส่วนเกินที่ไตไม่สามารถดูดซับได้หมดจะดึงของเหลวออกจากเนื้อเยื่อ และถูกขับออกผ่านทางปัสสาวะทำให้ร่างกายขาดน้ำ จึงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกระหายน้ำ และการดื่มน้ำเพิ่มขึ้นจึงทำให้ปัสสาวะบ่อยครั้งตามมาด้วยเช่นกัน
ความอยากอาหารเพิ่มขึ้นและน้ำหนักลดลง
เมื่อร่างกายขับกลูโคสออกจากเลือดผ่านทางปัสสาวะมากขึ้น อาจส่งผลให้ร่างกายสูญเสียแคลอรี่ และทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ เมื่อร่างกายไม่มีกลูโคสเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานอย่างเพียงพอ จึงทำให้ผู้ป่วยอาจมีความอยากอาหารเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
มองเห็นภาพซ้อน
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะดึงของเหลวออกจากเนื้อเยื่อ รวมถึงน้ำในเนื้อเยื่อของดวงตาด้วย ส่งผลให้การโฟกัสของดวงตาแย่ลงและมองเห็นภาพซ้อน หากปล่อยไว้อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นและตาบอดได้
ปัญหาไต
โรคเบาหวานระยะสุดท้ายอาจพัฒนาไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เรียกว่า เบาหวานลงไต สามารถแบ่งได้เป็น 5 ระยะตามความรุนแรง ดังนี้
- ระยะที่ 1 ไตเริ่มทำงานหนักและโตขึ้นเล็กน้อย เริ่มมีอัลบูมิน (Albumin) คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่อยู่ในกระแสเลือด หรือเรียกว่า ไข่ขาว รั่วออกมาทางปัสสาวะประมาณ 30-300 มก./วัน
- ระยะที่ 2 ไตเริ่มเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอย่างช้า ๆ ซึ่งยังไม่แสดงอาการใดใด
- ระยะที่ 3 เบาหวานลงไตระยะเริ่มต้น บางคนอาจไม่มีอาการหรืออาจแสดงอาการบวมบริเวณมือและเท้า และอาจมีความดันโลหิตสูง โรคโลหิตจาง
- ระยะที่ 4 เบาหวานลงไตระยะร้ายแรง อาจมีอาการบวมที่มือและเท้า ปัสสาวะบ่อยขึ้น
- ระยะที่ 5 ไตวาย เป็นภาวะที่ไตหยุดทำงาน อาจมีอาการปัสสาวะเป็นฟอง มือและเท้าบวม เบื่ออาหาร รสชาติโลหะในปาก และอาการชัก ต้องได้รับการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต
ปัญหาไตเป็นอาการโรคเบาหวานระยะสุดท้ายที่พบบ่อยเ ซึ่งเกิดจากไตทำงานหนักเพื่อดูดซับกลูโคสในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีอาการ ดังนี้
- ปัสสาวะสีเข้ม หรือเป็นเลือด
- ปัสสาวะเป็นฟอง
- ปวดบริเวณไตบริเวณหลังส่วนล่าง
- โรคไตเรื้อรัง หรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
อาการของโรคหัวใจและหลอดเลือด
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและอาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง และโรคอ้วน ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนโรคหลอดเลือดและหัวใจตามมา และอาจทำให้มีอาการแผลหายช้าลง เจ็บหน้าอก และจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ
การรับมือกับอาการโรคเบาหวานระยะสุดท้าย
การรับมือกับโรคเบาหวานระยะสุดท้าย เป็นการควบคุมอาการให้คงที่ และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ไม่ให้พัฒนาจนเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้อาการรุนแรงขึ้น ดังนี้
- รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ โดยหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีน้ำตาล คาร์โบไฮเดครต ไขมันและแคลอรี่สูงหากผู้ป่วยโรคเบาหวานมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เน้นอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผักผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี
- ออกกำลังกาย โดยการออกกำลังกายในระดับปานกลางประมาณ 30 นาทีต่อวัน เช่น การเต้นแอโรบิก การเดินเร็ว เพื่อเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดน้ำหนักส่วนเกิน
- ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ควบคุมไม่ให้ระบน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงเกินไป
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด และใช้ยาอินซูลินหรือยารักษาโรคเบาหวานตามคำแนะนำของคุณหมอ
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก หากผู้ป่วยโรคเบาหวานมีภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
- เข้ารับการทดสอบสำหรับภาวะแทรกซ้อนเมื่อเข้าขั้นโรคเบาหวานระยะสุดท้าย ดังนี้
- ตรวจเลือด (A1c blood test)
- การทดสอบภาวะกรดในเลือดสูงจากเบาหวาน (Diabetic ketoacidosis : DKA)
- ทดสอบต่อมไทรอยด์
[embed-health-tool-bmi]