backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

โรคเรื้อน สาเหตุ และวิธีการรักษา

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย Duangkamon Junnet


เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 23/02/2022

โรคเรื้อน สาเหตุ และวิธีการรักษา

โรคเรื้อน เป็นอาการโรคติดเชื้อเรื้อรังชนิดหนึ่ง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย มีระยะฟักตัวนานราว 5-12 ปี ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวหนัง มีผื่น ตุ่ม หรือวงด่างขาว ขึ้นทั่วร่างกาย ขณะเดียวกันเชื้อโรคมักไปทำลายระบบประสาทให้เสียหายอย่างช้า ๆ หากไม่รีบรักษา ผู้ป่วยอาจมีใบหน้าผิดรูป เป็นอัมพาต หรือตาบอดได้ ปัจจุบันนี้ โรคเรื้อนรักษาได้ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะ

คำจำกัดความ

โรคเรื้อน คืออะไร

โรคเรื้อน เป็นโรคติดเชื้อเรื้อรัง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไมโคแบคทีเรียม เลพรี (Mycobacterium Leprae) ทำให้เกิดความผิดปกติที่ผิวหนัง เส้นประสาท เยื่อบุจมูก มือ เท้า และดวงตา โดยระยะฟักตัวของเชื้อแบคทีเรียชนิดดังกล่าวก่อนแสดงอาการของโรคจะอยู่ประมาณ 5-12 ปี อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยบางราย เชื้ออาจใช้เวลาฟักตัวนานถึง 20 ปี

โรคเรื้อนเป็นโรคติดต่อที่สามารถแพร่กระจายผ่านละอองฝอยจากจมูกหรือปากของผู้ติดเชื้อ หากมีอาการแต่ไม่รีบเข้ารับการรักษา อาจเป็นอัมพาตหรือตาบอดได้ เนื่องจากเส้นประสาทถูกทำลาย รวมถึงมีผิวหนังที่เสียหายอย่างถาวร

โรคเรื้อนเกิดกับคนได้ทุกช่วงวัย ในปี พ.ศ. 2563 องค์การอนามัยโลกพบว่าผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ ใน 139 ประเทศทั่วโลก มีจำนวนทั้งสิ้น 127,558 คน ในจำนวนนี้ 8,629 คน เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี

อาการ

อาการของโรคเรื้อน

อาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคเรื้อน มีดังนี้

ผิวหนัง

  • มีวงด่างขาว ปื้นแดง หรือผื่นแดงบนผิวหนัง
  • ผิวหนังแห้งหรือแข็งเป็นหย่อม ๆ
  • มีแผลพุพองบริเวณฝ่าเท้า
  • มีตุ่มบวมบนใบหน้าหรือติ่งหู
  • ขนคิ้วหรือขนตาร่วงมากผิดปกติ
  • ระบบประสาท

    • มีอาการชาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น มือ เท้า ทำให้เมื่อร่างกายเป็นแผล จึงไม่รู้สึก และเมื่อปล่อยไว้ก็อาจลุกลามยากจะรักษาได้
    • เกิดความเสียหายของเส้นประสาทบริเวณสมอง ไขสันหลัง ทำให้เป็นอัมพาตได้
    • มีปัญหาด้านการมองเห็น เช่น ต้อหิน ตาบอด
    • กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเป็นอัมพาต โดยเฉพาะบริเวณมือหรือเท้า

    ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคเรื้อนบางรายอาจมีอาการแทรกซ้อน เช่น

    • ใบหน้าเสียรูป จากอาการนูนบวมของผิวหนังที่ติดเชื้ออย่างถาวร
    • หย่อนสมรรถภาพทางเพศ รวมทั้งลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และปริมาณน้ำเชื้อ ทำให้อวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว และระบบสืบพันธุ์เสียหายได้
    • อาการไตวาย โรคเรื้อนอาจไปทำลายไต จนก่อให้เกิดไตวายได้
    • การคัดจมูกเรื้อรัง เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียของโรคไปทำลายเซลล์เนื้อเยื่อภายในจมูก
    • ความรู้สึกแสบร้อนบนร่างกาย

    สาเหตุ

    สาเหตุของโรคเรื้อน

    โรคเรื้อน เกิดจากแบคทีเรียไมโคแบคทีเรียม เลพรีซึ่งติดต่อกันได้จากการกระจายของละอองฝอยเมื่อผู้ติดเชื้อไอหรือจาม

    อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อแบคทีเรียโรคเรื้อน จะไม่เกิดขึ้นในกรณีต่อไปนี้

    • เมื่อจับมือหรือกอดกัน
    • เมื่อนั่งติดกับผู้อื่นในระบบขนส่งสาธารณะ
    • เมื่อร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน
    • เมื่อมีเพศสัมพันธ์
    • จากมารดาไปยังทารกในครรภ์

    เมื่อไรควรไปพบคุณหมอ

    หากพบแผลหรือผื่นบนร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบไปพบคุณหมอ แม้ว่าจะมีผื่นที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก รวมถึงไม่ทำให้รู้สึกเจ็บหรือคันก็ตาม นอกจากนั้น บางครั้งผื่นโรคเรื้อนจะขึ้นในบริเวณที่มองเห็นได้ยาก เช่น แผ่นหลัง สะโพก ทำให้ผู้ป่วยสังเกตไม่เห็น จึงไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ

    การวินิจฉัยและการรักษาโรค

    การวินิจฉัยโรคเรื้อน

    ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

    เมื่อไปพบคุณหมอ คุณหมอจะวินิจฉัยอาการของโรคเรื้อน โดยการสังเกตด้วยตาเปล่า เพื่อตรวจดูความผิดปกติบนผิวหนังเช่น วงด่างขาว หรือชมพูซีด ปื้นแดง ผื่น รวมทั้งอาจใช้เข็มจิ้มลงบนผิวหนังเบา ๆ เพื่อตรวจดูว่าผู้ป่วยมีอาการด้านชาเนื่องจากเส้นประสาทถูกทำลายอันเป็นอาการของโรคหรือไม่

    นอกจากนี้ หากคุณหมอสงสัยว่าผู้ป่วยอาจเป็นโรคเรื้อน อาจตัดผิวหนังบางส่วนไปตรวจหาเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของโรค

    การรักษาโรคเรื้อน

    โรคเรื้อนรักษาให้หายได้ โดยเฉพาะอาการทางผิวหนัง โดยปกติ การรักษาโรคเรื้อนจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค โดยคุณหมอจะให้ผู้ป่วยรับประทานยาปฏิชีวนะ 2-3 ชนิดร่วมกัน หรือมากกว่านั้น เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และป้องกันไม่ให้อาการของโรคแย่ลง โดยยากลุ่มที่ใช้รักษาโรคเรื้อน ประกอบด้วย

    • แดพโซน (Dapsone)
    • ไรแฟมพิซิน (Rifampin)
    • โคลฟาซิมีน (Clofazimine)
    • ทาลิโดไมด์ (Thalidomide)
    • เพรดนิโซโลน (Prednisolone)

    ทั้งนี้ การใช้ยาหลายขนานยังป้องกันการดื้อยาเนื่องจากการใช้ยาในระยะยาวด้วย

    อย่างไรก็ตาม ยาปฏิชีวนะไม่สามารถรักษาความเสียหายของเส้นประสาทหรือการเสียรูปของใบหน้าได้ ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรรีบพบคุณหมอตั้งแต่เนิ่น ๆ หรือในระยะแรก ๆ ของการเกิดโรคเรื้อน

    การปรับพฤติกรรมและการดูแลตัวเอง

    โรคเรื้อนมีอัตราการติดต่อกันของโรคต่ำ สามารถดูแลตัวเองเพื่อให้ห่างไกลโรคเรื้อน ดังนี้

    • หลีกเลี่ยงสัมผัสผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการรักษา โดยเฉพาะเมื่อร่างกายมีบาดแผล เนื่องจากเป็นช่องทางแพร่เชื้อของโรค หากต้องติดต่อกับผู้ป่วยโรคเรื้อนควรสวมหน้ากากอนามัยป้องกัน เพราะหากผู้ป่วย ไอ จาม อาจแพร่กระจายเชื้อได้
    • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับผู้ป่วยซึ่งยังไม่ได้รับการรักษา โดยผู้ที่อาศัยอยู่กับผู้ป่วยมีแนวโน้มติดเชื้อมากกว่าคนทั่วไปถึง 8 เท่า ทั้งนี้ ยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษา สามารถป้องกันผู้ป่วยไม่ให้แพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    Duangkamon Junnet


    เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 23/02/2022

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา