สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ หรือครอบครัวที่เตรียมมีลูก เชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ต้องอยากรู้แน่นอนก็คือ พัฒนาการของทารกในครรภ์ในแต่ละช่วงเวลา นี่คือสิ่งที่คุณแม่ควรรู้เกี่ยวกับ พัฒนาการทารกในครรภ์ สัปดาห์ที่ 12
[embed-health-tool-pregnancy-weight-gain]
พัฒนาการทารกในครรภ์ สัปดาห์ที่ 12
ลูกจะเติบโตอย่างไร
ตอนนี้ลูกอาจมีขนาดเท่ากับลูกมะนาว โดยมีน้ำหนักประมาณ 15 กรัม และสูงประมาณ 5 เซนติเมตร โดยวัดจากศีรษะถึงปลายเท้า อวัยวะของลูกน้อยส่วนใหญ่ได้พัฒนาขึ้นแล้ว แต่ยังต้องการเวลาในการพัฒนาให้โตเต็มที่ เพื่อที่จะได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
อวัยวะที่พัฒนาขึ้นแล้วก็คืออวัยวะในระบบย่อยอาหาร ลูกกำลังเริ่มฝึกการเคลื่อนไหวเพื่อย่อยอาหาร ซึ่งอาจจะมีการเคลื่อนไหวที่ตอบสนองต่อตัวกระตุ้นต่าง ๆ เช่น การกำมือ การดูด การสะอึก คุณแม่อาจยังไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเหล่านี้ แต่ในอีกประมาน 2-3 สัปดาห์ ก็จะเริ่มรู้สึกได้อย่างชัดเจน
ไขกระดูกในกระดูกของลูกกำลังผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวขึ้นมา ซึ่งจะทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ พร้อมกันนี้ก็สร้างระบบภูมิคุ้มกันขึ้นมาด้วย ต่อมใต้สมองจะเริ่มผลิตฮอร์โมนที่สำคัญ ๆ ขึ้นมาในช่วงสัปดาห์นี้
ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและรูปแบบการใช้ชีวิต
ร่างกายจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
เลือดที่สูบฉีดมากขึ้นจะช่วยให้ผิวของคุณแม่ดูเปล่งปลั่งสดใส แต่อาจจะทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะได้ ฮอร์โมนการตั้งครรภ์ซึ่งรวมถึงฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้เส้นเลือดคลายตัวและขยายใหญ่ขึ้น อาจส่งผลให้สูบฉีดเลือดเพื่อลำเลียงสารอาหารสำคัญ ๆ ไปให้ลูกน้อยได้มากขึ้น จึงอาจทำให้ความดันโลหิตลดลง และมีเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงสมองน้อยลงด้วย นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะ
มากไปกว่านั้น คุณแม่อาจรู้สึกหน้ามืดมากขึ้น เมื่อลุกขึ้นยืนหรือเคลื่อนไหวร่างกายเร็วเกินไป ดังนั้น คุณหมอาจแนะนำให้ทำงานหรือทำกิจกรรมที่ไม่หนักจนเกินไป และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะ คือ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อคุณแม่ไม่ได้กินอะไรอย่างสม่ำเสมอ หรือลืมกินอาหาร สำหรับในการบรรเทาอาการหน้ามืดหรือวิงเวียนศีรษะอาจทำได้ด้วยการเอนตัวนอน แล้วหายใจเข้าออกลึก ๆ หรืออาจลองดื่มน้ำหรือน้ำผลไม้ด้วย
ควรระมัดระวังอะไรบ้าง
ในช่วงเวลานี้ คุณแม่อาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาเยอะมาก ในขณะที่กำลังย่างเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 อาจทำให้ยิ่งมีน้ำหนักตัวมากขึ้น เนื่องจากร่างกายต้องการสารอาหารและพลังงาน เพื่อการเจริญเติบโตของลูกน้อย
คุณแม่อาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงตั้งครรภ์ใหม่ ๆ ส่วนหนึ่งอาจการกินอาหารเพื่อลูก แต่จริง ๆ แล้ว ทารกในครรภ์ไม่ได้ต้องการสารอาหารมากมาก นอกจากนี้ คุณแม่อาจจะอยากกินอาหารที่มีแคลอรี่สูง รวมทั้งอาหารมัน ๆ และหวาน ๆ ด้วย ซึ่งเป็นอาหารที่มีรสชาติอร่อยแต่ไม่ดีต่อสุขภาพ
ในการควบคุมน้ำหนัก คุณแม่อาจต้องจัดตารางการกินอาหารขึ้นมา ดังนั้น ควรปรึกษาคุณหมอหรือนักโภชนาการว่าจะเกี่ยวกับสารอาหารต่าง ๆ ที่ควรได้รับจากอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ นอกจากนี้ ควรต้องกินผลไม้ ผัก และไขมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ถั่วและถั่วเปลือกแข็งต่าง ๆ
การพบคุณหมอ
ควรปรึกษาคุณหมออย่างไรบ้าง
ถ้าคุณแม่ยังกังวลกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ลองปรึกษาคุณหมอ ซึ่งคุณหมออาจจะช่วยหาวิธีจัดการกับเรื่องน้ำหนักได้ นอกจากนี้ ถ้าคุณแม่มีน้ำหนักตัวน้อยเกินไป ก็อาจส่งผลที่ไม่ดีต่อทารกในครรภ์ได้ ดังนั้น จึงควรเพิ่มน้ำหนักตัวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารที่เพียงพอในการเจริญเติบโตอย่างเหมาะสม พูดคุยกับคุณหมอเพื่อหาค่าดรรชนีมวลกายที่เหมาะกับ ซึ่งจะช่วยคำนวณน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่เหมาะสมได้
การทดสอบใดที่ควรรู้
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คุณหมออาจได้ทำการตรวจเลือดและทำการอัลตราซาวด์ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งความผิดปกติของโครโมโซมส่วนใหญ่ คือ โรคดาวน์ซินโดรม (Down Syndrome) การทำอุลตร้าซาวด์ก็เพื่อวัดความหนาของคอ เพื่อดูว่ามีน้ำสะสมอยู่บริเวณท้ายทอยอยู่เยอะหรือไม่ ซึ่งอาจรู้ผลในสัปดาห์นี้ โปรดจำเอาไว้ว่าผลการตรวจนี้เป็นการประเมินความเสี่ยงเท่านั้น
ถ้าผลการตรวจระบุว่าคุณแม่มีความเสี่ยงสูง ก็หมายความว่าจำเป็นต้องทำการตรวจวินิจฉัย เพื่อยืนยันว่าลูกมีโครโมโซมที่ผิดปกติจริง ๆ ซึ่งการตรวจแบบนี้อาจมีความเสี่ยงที่จะแท้งลูกแค่ 1% เท่านั้น ดังนั้น ควรพูดคุยกับคุณหมอเรื่องความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่ได้รับจากการตรวจวินิจฉัยโรคนี้
สุขภาพและความปลอดภัย
ควรทำอย่างไรเพื่อให้สุขภาพดีและปลอดภัย
การคำนึงถึงความปลอดภัยทั้งต่อตัวเองและทารกที่กำลังเติบโตในครรภ์นั้น นับเป็นเรื่องสำคัญมาก และนี่คือสิ่งต่าง ๆ ที่อาจทำให้คุณแม่เกิดความวิตกกังวลอยู่
- ท้องที่โตขึ้น
ในขณะที่กำลังก้าวเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 นี้ หน้าท้องจะยื่นออกมาจนสังเกตเห็นได้ ซึ่งก็หมายความว่าลูกน้อยกำลังเจริญเติบโต แต่นั่นจะทำให้คุณแม่รู้สึกปวดหลังช่วงล่างมากขึ้นตามไปด้วย เมื่อหน้าท้องโตขึ้นเรื่อย ๆ จุดศูนย์ถ่วงก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงนับเป็นเรื่องสำคัญที่คุณแม่จะต้องรับรู้ร่างกายของตัวเอง
คุณแม่อาจเริ่มเข้าคลาสโยคะสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ก่อนคลอด หรือหาเวลายืดกล้ามเนื้อในตอนเช้า ๆ หรือก่อนเข้านอน ซึ่งอาจจะช่วยให้หลังสามารถปรับตัวให้กับความความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ ไม่ควรทำอะไรที่เกินแรงของตัวเอง หรือเคลื่อนไหวร่างกายแบบรวดเร็วเกินไป
หน้าท้องที่ใหญ่ขึ้นอาจหมายความว่ามดลูกก็กำลังเติบโต จึงอาจทำให้มีความเสี่ยงที่จะกดทับเส้นประสาทมากขึ้น เนื่องจากเส้นประสาทที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย จะพาดผ่านหลังส่วนล่างไปถึงก้นและขาส่วนล่าง เรื่อยลงไปถึงข้อเท้าและเท้า จึงอาจทำให้รู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ บริเวณสะโพก แต่อาจเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว และอาจไม่ได้เกิดกับทุกคน แต่อาการอาจเกิดขึ้นได้บ่อย ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ และเพื่อรับมือกับอาการเกิดขึ้น คุณแม่จึงควรเริ่มพักผ่อนให้มากขึ้น นอกจากนี้ อาจออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ หรือทำกายบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อจะได้ไม่มีน้ำหนักไปกดทับเส้นประสาท
- ภาวะโลหิตจาง
ในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์นั้น สิ่งสำคัญอันดับแรก ๆ คือ การจัดเตรียมสารอาหารให้พอเพียงต่อลูกน้อยในครรภ์ วิตามินและสารอาหารที่จำเป็น ได้แก่ กรดโฟลิค วิตามินบี 1 และธาตุเหล็ก ซึ่งทั้งหมดนั้นมีส่วนช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง
ถ้าคุณแม่เป็นมังสวิรัติ ก็ต้องแน่ใจว่ากินอาหารเสริมและวิตามินพวกนี้ด้วย สัญญาณและอาการของภาวะโลหิตจาง ได้แก่ อ่อนเพลีย ตัวซีด และอ่อนแอ หากสงสัยว่าตัวเองอาจมีภาวะโลหิตจาง ควรปรึกษาคุณหมอทันที
แล้วมาดูกันว่า ในสัปดาห์ต่อไป คุณแม่ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร และทารกในครรภ์จะมีพัฒนาการอย่างไรบ้าง