อะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen)

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย เภสัชกรวิสสุตา ชั้นประเสริฐ · ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย ฤทธิศักดิ์ วงศ์วุฒิพงษ์ · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

อะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen)

ข้อบ่งใช้

ยา อะเซตามิโนเฟน ใช้สำหรับ

ยา อะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) หรือที่รู้จักกันว่า ยาพาราเซตามอล (paracetamol) ยา อะเซตามิโนเฟน นี้เป็นยาแก้ปวดและลดไข้ ใช้สำหรับอาการปวดต่างๆ เช่น ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ข้ออักเสบ ปวดหลัง ปวดฟัน อาการหวัดและไข้

นอกจากนี้ ยาอะเซตามิโนเฟน ยังอาจใช้เพื่อจุดประสงค์อื่น ที่ไม่ได้ระบุในคำแนะนำนี้

วิธีการใช้ยา อะเซตามิโนเฟน

ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรใช้ยาเกินขนาด หรือน้อยกว่าที่กำหนด หรือเป็นเวลานานกว่าที่แพทย์แนะนำ การใช้ยาเกินขนาดอาจเกิดอันตรายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

หากเป็นยาน้ำ ควรตวงยาด้วยกระบอกฉีดยาหรือช้อนหรือถ้วยตวงเฉพาะ หากไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้ ควรขอจากเภสัชกร

หากคุณใช้ยานี้กับเด็ก ควรใช้ขนาดที่รูปแบบของยาที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ใช้ที่หยอดหรือกระบอกฉีดยาที่มาพร้อมกับตัวยาเท่านั้น ใช้ปริมาณยาตามที่ระบุในตามเอกสารกำกับยาอย่างเคร่งครัด

ยาอะเซตามิโนเฟนสำหรับทารกมี 2 ชนิด โดยแต่ละชนิดมาพร้อมกับอุปกรณ์ตวงยาที่แตกต่างกัน อย่าใช้อุปกรณ์ตวงยาผิดประเภทเพราะจะทำให้เด็กได้รับยาเกินขนาดได้

  • ควรเขย่าก่อนการใช้ยา และทำตามคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์
  • ควรเคี้ยวยาเม็ดชนิดเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน
  • ควรหยิบยาเม็ดขณะมือแห้ง วางยาไว้บริเวณลิ้นรอให้ยาค่อยๆละลาย ไม่ควรกลืนยาทั้งเม็ด รอให้ค่อยๆละลายโดยไม่ต้องเคี้ยว

การใช้ยาอะเซตามิโนเฟนแบบแกรนูลผงฟู่ ละลายผงยาในน้ำอย่างน้อย 4 ออนซ์ คนให้เข้ากันและดื่มทันที ควรดื่มให้หมด หากมียาเหลือในแก้ว เทน้ำเพิ่มเล็กน้อยเพื่อให้ยาละลายและดื่มทันที

การเก็บรักษายา อะเซตามิโนเฟน

ควรเก็บรักษายาอะเซตามิโนเฟนในอุณหภูมิห้อง รวมถึงเก็บให้พ้นจากแสงและความชื้น เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับยา คุณไม่ควรเก็บไว้ในห้องน้ำหรือตู้เย็น ยาอะเซตามิโนเฟนแต่ละยี่ห้ออาจมีวิธีเก็บแตกต่างกันไป สิ่งสำคัญ คือ การอ่านคำแนะนำการเก็บรักษายาบนบรรจุภัณฑ์ หรือสอบถามเภสัชกรเพื่อความปลอดภัย คุณควรเก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

คุณไม่ควรทิ้งยายาอะเซตามิโนเฟนลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่คุณได้รับคำแนะนำให้ทำอย่างนั้น สิ่งสำคัญคือทิ้งยาเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่จำเป็นต้องรับประทานอีกต่อไป ปรึกษาเภสัชกรเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีทิ้งยาอย่างปลอดภัย

ข้อควรระวังและคำเตือน

สิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้ยา อะเซตามิโนเฟน

ก่อนการใช้ยา ควรแจ้งแพทย์ในกรณีดังต่อไปนี้

  • คุณกำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร เนื่องจากขณะที่คุณตั้งครรภ์หรือให้นมลูก คุณควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์
  • หากคุณกำลังใช้ยาชนิดอื่น รวมถึงยาที่คุณซื้อโดยไม่มีใบสั่งยา เช่น สมุนไพร และการรักษาโดยแพทย์ทางเลือก
  • หากคุณมีอาการแพ้ต่อส่วนประกอบของยานี้และยาชนิดอื่น ทั้งสารออกฤทธิ์และไม่ออกฤทธิ์
  • หากคุณมีอาการป่วย หรือมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ

การใช้ยาเกินขนาดอาจส่งผลเสียต่อตับ และอาจรุนแรงถึงชีวิต รีบพบแพทย์ หากเกิดอาการคลื่นไส้ ปวดบริเวณท้องส่วนบน คัน เบื่ออาหาร ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีโคลน หรือตาหรือผิวเหลือง

ไม่ควรใช้ยานี้โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ หากคุณเคยเป็นโรคตับแข็ง หรือดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 3 ครั้งต่อวัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่ออันตรายที่เกิดกับตับขณะใช้ยาอะเซตามิโนเฟน

หยุดใช้ยาทันทีและพบแพทย์หากเกิดอาการดังนี้

  • ยังมีไข้อยู่หลังจากใช้ยา 3 วัน
  • ยังมีอาการปวดอยู่หลังจากใช้ยา 7 วัน (หรือ 5 วันหลังจากใช้ยากับเด็ก)
  • หากคุณมีอาการผื่นผิวหนัง ปวดหัวเรื้อรัง เกิดอาการแดงหรือบวม
  • หากคุณมีอาการแย่ลงหรือเกิดอาการใหม่

การใช้ยาอาจส่งผลต่อผลการตรวจหาระดับน้ำตาลกลูโคสในปัสสาวะได้

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ไม่มีการศึกษาในผู้หญิงที่เพียงพอ ที่จะระบุความเสี่ยงขณะที่ใช้ยาอะเซตามิโนเฟน ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง

เพื่อประเมินข้อดีและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ก่อนรับประทานยาอะเซตามิโนเฟน อ้างอิงจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ยานี้จัดเป็นยาที่มีความเสี่ยงสำหรับสตรีมีครรภ์ประเภท C

องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาจัดประเภทความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์ดังต่อไปนี้

  • A = ไม่เสี่ยง
  • B = ไม่พบความเสี่ยงจากงานวิจัยบางชิ้น
  • C = อาจมีความเสี่ยงบางอย่าง
  • D = พบหลักฐานเกี่ยวกับความเสี่ยง
  • X = ห้ามใช้
  • N = ไม่ทราบแน่ชัด

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา อะเซตามิโนเฟน

หยุดใช้ยาอะเซตามิโนเฟนทันทีและไปพบแพทย์หากเกิดอาการดังนี้

ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีหากเกิดอาการแพ้เช่น ลมพิษ หายใจลำบาก หน้า ริมฝีปาก ลิ้นและคอบวมขึ้น

ในบางกรณี ยาอะเซตามีโนเฟนอาจทำให้เกิดอาการทางผิวหนังอย่างรุนแรง ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิต กรณีนี้อาจเกิดขึ้นแม้เคยใช้ยานี้มาก่อน และไม่มีอาการดังกล่าว ควรหยุดใช้ยาทันที และไปพบแพทย์หากเกิดผื่นแดงบริเวณผิวหนัง และผื่นลามไปทั่ว และผิวหนังพองและลอก หากเกิดอาการดังกล่าว ไม่ควรใช้ยาใดๆ ที่มีส่วนผสมของยาอะเซตามิโนเฟนอีก

ไม่ใช่ทุกคนที่จะแสดงอาการอันเนื่องมาจากผลข้างเคียงเหล่านี้ และอาจมีผลข้างเคียงอื่นที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากคุณมีความกังวลเรื่องผลข้างเคียง โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาชนิดอื่น

ยาอะเซตามีโนเฟนอาจมีปฏิกิริยาต่อยาตัวอื่นที่คุณกำลังรับประทานอยู่ และอาจส่งผลให้ยาที่คุณรับประทานออกฤทธิ์ต่างไปจากเดิม หรือเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่รุนแรง เพื่อหลีกเลี่ยงการทำปฏิกิริยาต่อกันระหว่างยาที่อาจเป็นไปได้

คุณควรเก็บรายชื่อยาทั้งหมดที่คุณใช้ (ทั้งยาที่จำหน่ายตามใบสั่งยา ยาที่จำหน่ายโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา และสมุนไพร) และแจ้งให้แพทย์รวมถึงเภสัชกรทราบ เพื่อความปลอดภัย อย่าเริ่มหรือหยุดรับประทาน รวมถึงเปลี่ยนขนาดยา โดยไม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์

ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์

ยาอะเซตามีโนเฟนอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์ โดยเปลี่ยนฤทธิ์ยา หรือเพิ่มความเสี่ยงให้ที่จะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อถามถึงอาหารหรือแอลกอฮอล์ที่อาจทำปฏิกิริยากับยานี้ก่อนรับประทานยา

ปฏิกิริยาต่ออาการโรคอื่น

ยาอะเซตามีโนเฟนอาจส่งผลต่อสุขภาพของคุณ ปฏิกิริยาของยาที่มีต่อร่างกายอาจทำให้สุขภาพของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบเกี่ยวกับสุขภาพและโรคประจำตัวของคุณ

ขนาดยา

อายุข้อมูลเหล่านี้ไม่สามารถแทนคำปรึกษาทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ก่อนใช้ยาอะเซตามีโนเฟน

ขนาดยาอะเซตามิโนเฟนสำหรับผู้ใหญ่

สำหรับอาการไข้ในผู้ใหญ่

โดยการฉีด

น้ำหนักตั้งแต่ 50 กิโลกรัมขึ้นไป: ฉีดยาขนาด 1000 มิลลิกรัมเข้าหลอดเลือดดำ ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 650 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 4000 มิลลิกรัม ภายใน 24 ชั่วโมง

น้ำหนักต่ำกว่า 50 กิโลกรัม ฉีดขนาด 15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 12.5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ห้ามใช้ยาเกิน 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อครั้ง
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 75 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับรับประทาน

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์ทันที: ขนาด 325 มิลลิกรัม ถึง 1 กรัม ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง

  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 4 กรัม ภายใน 24 ชั่วโมง

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์นาน: ขนาด 1300 มิลลิกรัม ทุก 8 ชั่วโมง

  • ห้ามใช้ยาเกิน 3900 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

ชนิดเหน็บทวาร

  • 650 มิลลิกรัม ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 3900 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับอาการปวดในผู้ใหญ่

โดยการฉีด

น้ำหนักตั้งแต่ 50 กิโลกรัมขึ้นไป: ฉีดยาขนาด 1000 มิลลิกรัมเข้าเส้นเลือดดำ ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 650 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 4000 มิลลิกรัม ภายใน 24 ชั่วโมง

น้ำหนักน้อยกว่า50 กิโลกรัม: ฉีดยาขนาด 15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมเข้าเส้นเลือดดำ ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 12.5 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุดต่อ 1 ครั้ง 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 75 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับรับประทาน

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์ทันที: ขนาด 325 มิลลิกรัม ถึง 1 กรัม ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง

  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 4 กรัม ภายใน 24 ชั่วโมง

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์นาน: ขนาด 1300 มิลลิกรัม ทุก 8 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุด 3900 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

ชนิดเหน็บทวาร

  • ขนาด 650 มิลลิกรัม ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง
  • ขนาดสูงสุด 3900 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

ขนาดยาอะเซตามิโนเฟนสำหรับเด็ก

สำหรับอาการไข้ในเด็ก

โดยการฉีด

อายุ 2 ถึง 12 ปี ฉีดยาขนาด 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือ 12.5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุดต่อ 1 ครั้ง 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และไม่เกิน 750 มิลลิกรัม
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 75 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง และไม่เกิน 3750 มิลลิกรัม

อายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป และน้ำหนักตัวน้อยกว่า 50 กิโลกรัม ฉีดยาขนาด 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 12.5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุดต่อ 1 ครั้ง 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ขนาดสูงสุด 75 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

อายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป และน้ำหนักตั้งแต่ 50 กิโลกรัมขึ้นไป ฉีดยาขนาด 1000 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 650 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ขนาดสูงสุด 4000 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับรับประทาน

ทานขนาด 10 ถึง 15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุกๆ 4-6 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง

ปริมาณยาที่ใช้ให้พิจารณาจากน้ำหนักตัวก่อนอายุ

  • น้ำหนัก 7-5.3 กิโลกรัม (0 ถึง 3 เดือน) รับประทาน 40 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 4-8.1 กิโลกรัม (4 ถึง 11 เดือน) รับประทาน 80 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 2-10.8 กิโลกรัม (12 ถึง 23 เดือน): รับประทาน 120 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 9-16.3 กิโลกรัม (2 ถึง 3 ปี): รับประทาน 160 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 4-21.7 กิโลกรัม (4 ถึง 5 ปี): รับประทาน 240 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 8-27.2 กิโลกรัม (6 ถึง 8 ปี): รับประทาน 320 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 3-32.6 กิโลกรัม (9 ถึง 10 ปี): รับประทาน 400 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 7-43.2 กิโลกรัม (11 ถึง 12 ปี): รับประทาน 480 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง

อายุ 12 ปีขึ้นไป

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์ทันที: ขนาด 325 มิลลิกรัม ถึง 1 กรัม ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง

  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 4 กรัม ภายใน 24 ชั่วโมง

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์นาน: ขนาด 1300 มิลลิกรัม ทุก 8 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุด 3900 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับเหน็บทวาร

  • อายุ 6 ถึง 11 เดือน 80 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง สูงสุด 4 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 12 ถึง 36 เดือน 80 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 5 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 3 ถึง 6 ปี 120 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 5 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 6 ถึง 12 ปี 325 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 5 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 12 ปีขึ้นไป 650 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 6 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับอาการปวดในเด็ก

โดยการฉีด

อายุ 2 ถึง 12 ปี ฉีดยาขนาด 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือ 12.5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุดต่อ 1 ครั้ง 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และไม่เกิน 750 มิลลิกรัม
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ขนาดสูงสุด 75 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง และไม่เกิน 3750 มิลลิกรัม

อายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป และน้ำหนักตัวน้อยกว่า 50 กิโลกรัม ฉีดยาขนาด 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 12.5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุดต่อ 1 ครั้ง 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ขนาดสูงสุด 75 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

อายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป และน้ำหนักตั้งแต่ 50 กิโลกรัมขึ้นไป ฉีดยาขนาด 1000 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 650 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ขนาดสูงสุด 4000 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับรับประทาน

ทานขนาด 10 ถึง 15 มิลลิกรัมต่อนำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุกๆ 4-6 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง

ปริมาณยาที่ใช้ให้พิจารณาจากน้ำหนักตัวก่อนอายุ

  • น้ำหนัก 7-5.3 กิโลกรัม (0 ถึง 3 เดือน) รับประทาน 40 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 4-8.1 กิโลกรัม (4 ถึง 11 เดือน) รับประทาน 80 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 2-10.8 กิโลกรัม (12 ถึง 23 เดือน): รับประทาน 120 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 9-16.3 กิโลกรัม (2 ถึง 3 ปี): รับประทาน 160 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 4-21.7 กิโลกรัม (4 ถึง 5 ปี): รับประทาน 240 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 8-27.2 กิโลกรัม (6 ถึง 8 ปี): รับประทาน 320 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 3 32.6 กิโลกรัม (9 ถึง 10 ปี): รับประทาน 400 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 7-43.2 กิโลกรัม (11 ถึง 12 ปี): รับประทาน 480 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง

อายุ 12 ปีขึ้นไป

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์ทันที: ขนาด 325 มิลลิกรัม ถึง 1 กรัม ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง

  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 4 กรัม ภายใน 24 ชั่วโมง

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์นาน: ขนาด 1300 มิลลิกรัม ทุก 8 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุด 3900 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับเหน็บทวาร

  • อายุ 6 ถึง 11 เดือน 80 มิลลิกรัมทุก 6 ชั่วโมง สูงสุด 4 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 12 ถึง 36 เดือน 80 มิลลิกรัมทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 5 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 3 ถึง 6 ปี 120 มิลลิกรัมทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 5 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 6 ถึง 12 ปี 325 มิลลิกรัมทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 5 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 12 ปีขึ้นไป 650 มิลลิกรัมทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 6 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง

รูปแบบของยาอะเซตามีโนเฟน

อะเซตามีโนเฟนอยู่ในรูปแบบดังต่อไปนี้

  • ยาเม็ด
  • ยาน้ำ
  • ยาเหน็บ

กรณีฉุกเฉินหรือการใช้ยาเกินขนาด

หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที

หากลืมรับประทานควรทำอย่างไร

หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติ ไม่ควรเพิ่มขนาดยา

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิขฉัยโรค และการรักษาโรคแต่อย่างใด

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

เภสัชกรวิสสุตา ชั้นประเสริฐ

ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย ฤทธิศักดิ์ วงศ์วุฒิพงษ์ · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

โฆษณา
โฆษณา
โฆษณา
โฆษณา