ไพรมาควิน (Primaquine) ใช้ร่วมกับยาตัวอื่นเพื่อป้องกันและรักษามาลาเรีย ยาจะฆ่าเชื้อมาลาเรียที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อร่างกาย และช่วยป้องกันการติดเชื้อกลับมา
ข้อบ่งใช้
ยา ไพรมาควิน ใช้สำหรับ
ยาไพรมาควิน (Primaquine) ใช้ร่วมกับยาอื่นเพื่อป้องกันและรักษาโรคมาลาเรีย (malaria) ที่เกิดจากยุงกัดในประเทศที่พบโรคมาลาเรียได้มาก เชื้อปรสิตมาลาเรียนั้นสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านทางรอยยุงกัด และจะอาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของร่างกาย เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดงหรือตับ ยาไพรมาควินใช้หลังจากที่ยาอื่น เช่น ยาคลอโรควีน (chloroquine) ได้ฆ่าเชื้อปรสิตมาลาเรียที่อาศัยอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดแดงไปแล้ว ยาไพรมาควินจะฆ่าเชื้อปรสิตมาลาเรียที่อยู่ในเนื้อเยื่อส่วนอื่นของร่างกายช่วยป้องกันไม่ให้กลับมาติดเชื้ออีกครั้ง ต้องใช้ยาทั้งสองชนิดเพื่อการรักษาอย่างสมบูรณ์ ยาไพรมาควินฟอสเฟตอยู่ในกลุ่มของยาต้านมาลาเรีย (antimalarials)
วิธีการใช้ยา ไพรมาควิน
รับประทานยานี้ โดยปกติคือวันละครั้งพร้อมกับอาหารเพื่อป้องกันอาการท้องไส้ปั่นป่วน หรือรับประทานตามที่แพทย์กำหนด ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ยาไพรมาควินมักจะใช้เป็นเวลา 2 สัปดาห์หลังจากออกจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงแล้ว เริ่มต้นใช้ยาในช่วง 1-2 สัปดาห์สุดท้ายหลังจากที่ใช้ยารักษาโรคมาลาเรียอื่นหรือทันทีหลังจากที่คุณเสร็จสิ้นการรักษาด้วยยาอื่น ไม่ควรใช้ยาไพรมาควินนานกว่า 14 วันในการรักษาโรคมาลาเรีย
ขนาดยาขึ้นอยู่กับประเภทของการติดเชื้อและการตอบสนองต่อการรักษา ควรใช้ยานี้เป็นประจำ เพื่อให้ง่ายต่อการจำควรใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน
คุณควรจะใช้ยาตามที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด อย่าใช้มากกว่าหรือน้อยกว่าที่กำหนด อย่าหยุดใช้ยานี้ก่อนครบกำหนดการรักษาแม้ว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นแล้ว เว้นเสียแต่ว่าแพทย์จะสั่งให้ทำเช่นนั้น การข้ามหรือเปลี่ยนขนาดยาโดยไม่ได้รับการยินยอมจากแพทย์อาจทำให้การป้องกันหรือรักษาไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ปริมาณของเชื้อปรสิตเพิ่มขึ้น ทำให้การติดเชื้อรักษาได้ยากขึ้น (ดื้อยา) หรือทำให้ผลข้างเคียงรุนแรงขึ้น
คุณควรจะป้องกันตัวไม่ให้ยุงกัด (เช่นใช้ยาไล่แมลงที่เหมาะสม สวมเสื้อผ้าป้องกันที่ปิดคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของร่างกาย อยู่ในห้องแอร์หรือบริเวณที่ได้รับการตรวจสอบมาดีแล้ว ใช้มุ้งกันยุง ใช้สเปย์ฆ่าแมลง) ควรซื้อยาไล่แมลงก่อนเดินทาง ยาไล่แมลงที่ได้ผลดีที่สุดต้องมีส่วนผสมของ สารดีท (diethyltoluamide – DEET) โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับความแรงของยาไล่ยุงที่เหมาะสมกับคุณหรือลูกของคุณ
ไม่มีการรักษาด้วยยาใดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมาลาเรียโดยสมบูรณ์ ดังนั้นจึงควรรับการรักษาในทันทีหากมีอาการของโรคมาลาเรียเกิดขึ้น เช่น เป็นไข้ หนาวสั่น ปวดหัว มีอาการคล้ายโรคไข้หวัดใหญ่อื่นๆ โดยเฉพาะหากอยู่ในบริเวณที่มีความเสี่ยงโรคมาลาเรียแม้ว่าจะใช้ยานี้ครบกำหนดแล้ว การรักษาการติดเชื้อมาลาเรียอย่างรวดเร็วจะช่วยป้องกันผลที่รุนแรงและอาจถึงแก่ชีวิตได้
เมื่อใช้ยาไพรมาควินฟอสเฟตเพื่อรักษาการติดเชื้อ โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการของคุณไม่หายไปหรือแย่ลง
การเก็บรักษายา ไพรมาควิน
ยาไพรมาควินควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาไพรมาควินบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัยโปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่ควรทิ้งยาไพรมาควินลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูก สอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา ไพรมาควิน
ก่อนใช้ยาไพรมาควิน แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากคุณแพ้ต่อยานี้ หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีส่วนประกอบไม่ออกฤทธิ์ที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่น โปรดปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่นโรคลูปัส (lupus) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) ปัญหาเกี่ยวกับเลือด เช่นจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวต่ำ โรคโลหิตจาง เคยมีปัญหาเกี่ยวกับเลือดเนื่องจากยาไพรมาควิน เช่นภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก (hemolytic anemia) ภาวะเมทฮีโมโกลบินในเลือด (methemoglobinemia) โรคฟาวิสม์ (favism) ระดับเอ็นไซม์ในเลือดบางชนิดต่ำ เช่นเอ็นไซม์จี6พีดี (glucose-6-phosphate dehydrogenase-G6PD) เอ็นไซม์เอ็นเอดีเอชเมททีโมโกลบินรีดัคเตส (NADH methemoglobin reductase)
แพทย์อาจจะสั่งให้คุณทำการตรวจเลือดเพื่อดูว่าคุณมีภาวะขาดเอ็นไซม์หรือไม่ก่อนเริ่มใช้ยาไพรมาควิน
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือกัญชานั้นอาจทำให้อาการวิงเวียนรุนแรงขึ้นได้ อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัวจนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย จำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และปรึกษาแพทย์หากคุณใช้กัญชา
ยาไพรมาควินอาจทำให้เกิดสภาวะที่ส่งผลกระทบต่อการเต้นของหัวใจ อย่างระยะคิวทียาว (QT prolongation) ในนานๆครั้งอาการระยะคิวทียาวนี้อาจทำใให้เกิดอาการหัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกที่รุนแรง จนอาจถึงแก่ชีวิต และอาการอื่นๆ เช่น วิงเวียนอย่างรุนแรงหรือหมดสติ และจำเป็นต้องรับการรักษาในทันที
ความเสี่ยงในการเกิดระยะคิวทียาวนั้นอาจเพิ่มขึ้นหากคุณมีสภาวะหรือใช้ยาที่อาจทำให้เกิดอาการนี้ได้ ก่อนใช้ยานี้โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ และหากคุณมีสภาวะดังต่อไปนี้ ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจบางอย่าง เช่นหัวใจล้มเหลว หัวใจเต้นช้า ระยะคิวทียาวในการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (QT prolongation in the EKG) คนวนครอบครัวเคยมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจบางอย่าง เช่นระยะคิวทียาวในการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือหัวใจตายฉับพลัน (sudden cardiac death)
ระดับของโพแทสเซียมหรือแมกนีเซียมในเลือดต่ำยังอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดระยะคิวทียาวได้อีกด้วย ความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นหากคุณกำลังใช้ยาบางอย่าง เช่นยาขับปัสสาวะ/ยาขับน้ำ หรือหากคุณมีสภาวะเช่น เหงื่อออกมาก ท้องร่วง หรืออาเจียน ปรึกษากับแพทย์ถึงวิธีการใช้ยานี้อย่างปลอดภัย
ก่อนการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ (ทั้งยาตามใบสั่งยา ยาที่หาซื้อเอง และสมุนไพรต่างๆ)
ผู้สูงอายุอาจจะมีปฏิกิริยาไวต่อผลข้างเคียงของยานี้ได้มากกว่า โดยเฉพาะระยะคิวทียาว (อ่านด้านบน)
ห้ามใช้ยานี้ระหว่างการตั้งครรภ์เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ควรตรวจครรภ์ก่อนเริ่มใช้ยา ควรป้องกันการตั้งครรภ์ระหว่างที่ใช้ยานี้ ทั้งชายและหญิงระต้องใช้การคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้ระหว่างการรักษา (เช่นถุงยางอนามัย ยาคุมกำเนิด) ผู้ชายควรคุมกำเนิดต่อไปอีกอย่างน้อย 3 เดือนหลังจากเสร็จสิ้จการรักษา ผู้หญิงควรคุมกำเนิดต่อไปอีกอย่างน้อย 1 รอบประจำเดือนหลังจากเสร็จสิ้นการรักษา หากคุณตั้งครรภ์หรือคาดว่าอาจจะตั้งครรภ์โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบในทันที ขณะตั้งครรภ์นั้นการเดินทางไปยังบริเวณที่เสี่ยงเป็นโรคมาลาเรียจะเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตและปัญหาอื่นๆ ต่อคุณและลูก ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ (CDC) แนะนำให้ใช้ยารักษาโรคมาลาเรียอื่นๆ ต่อไป (เช่นยาคลอโรควีน) ตลอดการตั้งครรภ์จนถึงคลอดบุตรเพื่อป้องกันอันตรายต่อทารกในครรภ์ (เช่นภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก) หลังจากคลอดบุตรแล้วคุณสามารถกลับมาใช้ยาไพรมาควินจนครบกำหนด โปรดปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยา
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ายานี้สามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้หรือไม่และยังไม่ทราบผลต่อทารก แพทย์ควรทำการตรวจหาภาวะขาดเอ็นไซม์จี6พีดีก่อนให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยา
ยาไพรมาควินจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด N โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
- A= ไม่มีความเสี่ยง
- B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C= อาจจะมีความเสี่ยง
- D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
- X= ห้ามใช้
- N= ไม่ทราบแน่ชัด
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยา ไพรมาควิน
อาจเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน ท้องไส้ปั่นป่วน และปวดท้อง หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้นโปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรในทันที
โปรดจำไว้ว่าการที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้เนื่องจากคำนวณแล้วว่ายามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ
โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่หายากแต่รุนแรงดังนี้ สัญญาณของการติดเชื้อที่รุนแรง (เช่นเป็นไข้สูง หนาวสั่นอย่างรุนแรง เจ็บคอเรื้อรัง) สัญญาณของการสูญเสียเม็ดเลือดแดงเฉียบพลัน (เช่นเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง ปัสสาวะสีน้ำตาล ริมฝีปาก เล็บ หรือผิวซีด หัวใจเต้นเร็วหรือหายใจเร็วจากการทำกิจกรรมตามปกติ) สัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับเลือดบางชนิด (เช่นภาวะเมทฮีโมโกลบินในเลือด ทั้งผิวหนัง ริมฝีปาก หรือเล็บเป็นสีน้ำเงิน ปวดหัว หายใจติดขัด วิงเวียน อ่อนแรง สับสน ปวดหน้าอก หัวใจเต้นรัวกะทันหัน)
รับการรักษาในทันทีหากเกิดอาการที่หายากแต่รุนแรงดังนี้ อาการหัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติอย่างรุนแรง วิงเวียนอย่างรุนแรง หมดสติ
การแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรงมีดังนี้ ผดผื่น คันหรือบวม (โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ) วิงเวียนขั้นรุนแรง หายใจติดขัด
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้อาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ยาที่อาจจะมีปฏิกิริยากับยานี้ได้แก่ ยาเพนิซิลลามีน (penicillamine) ยาควินาครีน (quinacrine) ยาที่อาจจะลดจำนวนเซลล์เม็ดเลือด เช่นยาไทรเมโทพริม (trimethoprim) ยาซิโดวูดีน (zidovudine) ยาไพริเมทามีน (pyrimethamine) หรือยาอะซาไทโอพรีน (azathioprine)
ยาไพรมาควินอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยาไพรมาควินอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
ยาไพรมาควินอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาไพรมาควินสำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคมาลาเรีย
คำแนะนำจากผู้ผลิตคือ 15 มก. เบส (เกลือ 26.3 มก.) รับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 14 วัน
คำแนะนำ
- แนะนำให้ใช้เป็นการรักษาแบบให้หายขาดสำหรับโรคมาลาเรียชนิดไวแวกซ์ (vivax malaria) ป้องกันไม่ให้โรคมาลาเรียชนิดไวแวกซ์กำเริบ หรือใช้หลังจากเสร็จสิ้นการรักษากดอาการโดยใช้ยาคลอโรควีนฟอสเฟตในบริเวณที่พบโรคมาลาเรียได้ทั่วไป
- ควรใช้ร่วมกับยาคลอโรควีนฟอสเฟต (ทำลายปรสิตในเม็ดเลือดแดงและหยุดการกำเริบ) เพื่อทำลายปรสิตนอกเม็ดเลือดแดง
การใช้งาน
เพื่อใช้เป็นการรักษาแบบให้หายขาด (ป้องกันการกำเริบ) สำหรับโรคมาลาเรียเนื่องจากเชื้อพาสโมเดียมไวแวกซ์ (Plasmodium vivax)
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา (US CDC) 30 มก. เบส (เกลือ 52.6 มก.) รับประทานหนึ่งครั้งเป็นเวลา 14 วัน
อีกทางเลือกหนึ่งคือ 45 มก. เบส (เกลือ 78.9 มก. ) รับประทานสัปดาห์ละครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์
คำแนะนำ
- ใช้เป็นการรักษาแบบให้หายขาดสำหรับโรคมาลาเรียเนื่องจากเชื้อพาสโมเดียมไวแวกซ์ หรือเชื้อพลาสโมเดียม โอวาเล่ (P ovale)
- เนื่องจากยานี้มักจะไม่มีผลต่อเชื้อพลาสโมเดียที่อยู่ในเม็ดเลือดแดง ควรใช้ยานี้ร่วมกับยาต้านมาลาเรียอื่นที่เหมาะสม
- ยานี้จะกำจัดเชื้อฮิปโนซอยต์ (hypnozoites) ที่อาจจะอยู่ในตับและป้องกันการกำเริบ
- สูตรยาทางเลือกนั้นแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะขาดเอ็นไซม์จี6พีดี หรือใช้เป็นสูตรทางเลือกนอกเหนือจากสูตรการใช้ยาทุกวัน
- หากจะพิจารณามใช้สูตรยาทางเลือกสำหรับผู้ที่มีภาวะขาดเอ็นไซม์จี6พีดี ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเรื่องโรคติดเชื้อ และ/หรือยาเขตร้อน
- ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์แต่ควรใช้หลังจากคลอดบุตรสำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะขาดเอ็นไซม์จี6พีดี
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อป้องกันโรคมาลาเรีย
คำแนะนำจากผู้ผลิตคือ 15 มก. เบส (เกลือ 26.3 มก.) รับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 14 วัน
คำแนะนำ แนะนำให้ใช้เป็นการรักษาแบบให้หายขาดสำหรับโรคมาลาเรียชนิดไวแวกซ์ ป้องกันไม่ให้โรคมาลาเรียชนิดไวแวกซ์กำเริบ หรือใช้หลังจากเสร็จสิ้นการรักษากดอาการโดยใช้ยาคลอโรควีนฟอสเฟตในบริเวณที่พบโรคมาลาเรียได้ทั่วไป
การใช้งาน เพื่อใช้เป็นการรักษาแบบให้หายขาด (ป้องกันการกำเริบ) สำหรับโรคมาลาเรียเนื่องจากเชื้อพาสโมเดียมไวแวกซ์
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา 30 มก. เบส (เกลือ 52.6 มก.) รับประทานหนึ่งครั้ง
คำแนะนำ
เมื่อใช้สำหรับการป้องกันโรคปฐมภูมิ
- ควรใช้ยาอย่างน้อย 1 ถึง 2 วัน ก่อนเดินทางไปยังพื้นที่ที่พบโรคมาลาเรียได้ทั่วไป ขณะที่กำลังอยู่ในพื้นที่นั้น และเป็นเวลา 7 วันหลังจากออกจากพื้นที่นั้นแล้ว
- ตามปกติแล้วจะใช้สำหรับการเดินทางในระยะสั้นไปยังพื้นที่ที่มีเชื้อพาสโมเดียมไวแวกซ์
เมื่อใช้สำหรับการป้องกันโรคในภายหลัง (terminal prophylaxis) (การป้องกันอาการกำเริบจากการสันนิษฐาน [presumptive antirelapse therapy])
- เพื่อลดความเสี่ยงในการกำเริบของโรคมาลาเรียเนื่องจากเชื้อพาสโมเดียมไวแวกซ์ หรือเชื้อพลาสโมเดียม โอวาเล่ เป็นข้อบ่งใช้สำหรับผู้ป่วยที่เปิดรับเชื้อพาสโมเดียมไวแวกซ์ หรือเชื้อพลาสโมเดียม โอวาเล่ หรือทั้งสองเชื้อเป็นเวลานาน
- ควรใช้ยานี้หลังจากที่ผู้ป่วยออกมาจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคมาลาเรียแล้ว 14 วัน
- เมื่อใช้ยาคลอโรควีน ยาดอกซีไซคลีน (doxycycline) หรือยาเมโฟลควีน (mefloquine) เป็นการป้องกันโรคปฐมภูมิ ควรใช้ยานี้ในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของการป้องกันโรคหลังการเปิดรับเชื้อ
- เมื่อใช้ยาอะโตวาโควน (atovaquone) – ยาโปรกัวนิล (proguanil) สำหรับการป้องกันโรค ควรใช้ยานี้ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการใช้ยาอะโตวาโควน- ยาโปรกัวนิลและเพิ่มอีก 7 วัน
- ควรใช้ร่วมกับยานี้สำหรับการป้องกันโรค หากไม่สามารถทำได้ก็อาจจะใช้ยานี้หลังจากเสร็จสิ้นการป้องกันโรคปฐมภูมิ
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติส (Pneumocystis Pneumonia)
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) และสมาคมแพทย์ด้านเชื้อเอชไอวี/สมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (HIVMA/IDSA) เพื่อรักษาในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี 30 มก. เบส (เกลือ 52.6 มก.) รับประทานวันละครั้ง
ระยะเวลาการรักษา 21 วัน
คำแนะนำ
ใช้ร่วมกับยาคลินดามัยซิน (clindamycin) ควรใช้เป็นสูตรทางเลือกสำหรับการรักษาโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติสระดับเบาถึงปานกลาง และโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติสระดับปานกลางถึงรุนแรง
คำแนะนำอื่นๆ
การเก็บรักษา
เก็บไว้ในขวดที่ปิดสนิท เก็บให้พ้นจากแสง
ทั่วไป
- ขนาดยา ขนาดของยานี้มักจะแสดงหรือคำนวณเป็นเบส ยาไพรมาควินฟอสเฟตขนาด 26.3 มก. ทุกๆ เม็ดจะมีไพรมาควินเบส 15 มก.
- ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำให้ทำการตรวจคัดกรองภาวะขาดเอ็นไซม์จี6พีดีออกก่อนเริ่มใช้ยา
- ควรศึกษาคู่มือในปัจจุบันสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม C
การเฝ้าระวัง
เลือด ควรตรวจเลือดเป็นประจำ โดยเฉพาะจำนวนเม็ดเลือดและค่าฮีโมโกลบิน (ระหว่างการรักษา)
ขนาดยาไพรมาควินสำหรับเด็ก
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคมาลาเรีย
คำแนะนำจากผู้ผลิตคือ 0.5 มก./กก. เบส (เกลือ 0.8 มก./กก.)รับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 14 วัน
ขนาดยาสูงสุด 30 มก. เบส/ครั้ง
คำแนะนำ
- ใช้เป็นการรักษาแบบให้หายขาดสำหรับโรคมาลาเรียเนื่องจากเชื้อพาสโมเดียมไวแวกซ์ หรือเชื้อพลาสโมเดียม โอวาเล่
- เนื่องจากยานี้มักจะไม่มีผลต่อเชื้อพลาสโมเดียที่อยู่ในเม็ดเลือดแดง ควรใช้ยานี้ร่วมกับยาต้านมาลาเรียอื่นที่เหมาะสม
- ยานี้จะกำจัดเชื้อฮิปโนซอยต์ที่อาจจะอยู่ในตับและป้องกันการกำเริบ
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อป้องกันโรคมาลาเรีย
คำแนะนำจากผู้ผลิตคือ 0.5 มก./กก. เบส (เกลือ 0.8 มก./กก.)รับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 14 วัน
ขนาดยาสูงสุด 30 มก. เบส/ครั้ง
คำแนะนำ
เมื่อใช้สำหรับการป้องกันโรคปฐมภูมิ
- ควรใช้ยาอย่างน้อย 1 ถึง 2 วัน ก่อนเดินทางไปยังพื้นที่ที่พบโรคมาลาเรียได้ทั่วไป ขณะที่กำลังอยู่ในพื้นที่นั้น และเป็นเวลา 7 วันหลังจากออกจากพื้นที่นั้นแล้ว
- ตามปกติแล้วจะใช้สำหรับการเดินทางในระยะสั้นไปยังพื้นที่ที่มีเชื้อพาสโมเดียมไวแวกซ์
เมื่อใช้สำหรับการป้องกันโรคในภายหลัง (การป้องกันอาการกำเริบจากการสันนิษฐาน)
- เพื่อลดความเสี่ยงในการกำเริบของโรคมาลาเรียเนื่องจากเชื้อพาสโมเดียมไวแวกซ์ หรือเชื้อพลาสโมเดียม โอวาเล่ เป็นข้อบ่งใช้สำหรับผู้ป่วยที่เปิดรับเชื้อพาสโมเดียมไวแวกซ์ หรือเชื้อพลาสโมเดียม โอวาเล่ หรือทั้งสองเชื้อเป็นเวลานาน
- ควรใช้ยานี้หลังจากที่ผู้ป่วยออกมาจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคมาลาเรียแล้ว 14 วัน
- เมื่อใช้ยาคลอโรควีน ยาดอกซีไซคลีน หรือยาเมโฟลควีนเป็นการป้องกันโรคปฐมภูมิ ควรใช้ยานี้ในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของการป้องกันโรคหลังการเปิดรับเชื้อ
- เมื่อใช้ยาอะโตวาโควน-ยาโปรกัวนิล สำหรับการป้องกันโรค ควรใช้ยานี้ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการใช้ยาอะโตวาโควน- ยาโปรกัวนิลและเพิ่มอีก 7 วัน
- ควรใช้ร่วมกับยานี้สำหรับการป้องกันโรค หากไม่สามารถทำได้ก็อาจจะใช้ยานี้หลังจากเสร็จสิ้นการป้องกันโรคปฐมภูมิ
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติส
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา สถาบันสุขภาพแห่งชาติ สมาคมแพทย์ด้านเชื้อเอชไอวี/สมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็ก (PIDS) และสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (AAP) สำหรับผู้ป่วยเด็กที่เปิดรับเชื้อเอชไอวีและติดเชื้อเอชไอวี 0.3 มก./กก. เบส (เกลือ 0.526 มก./กก.) รับประทานวันละครั้ง
ขนาดยาสูงสุด 30 มก. เบส/ครั้ง
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสมาคมแพทย์ด้านเชื้อเอชไอวี/สมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา เพื่อรักษาในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี 30 มก. เบส (เกลือ 52.6 มก.) รับประทานวันละครั้ง
ระยะเวลาการรักษา 21 วัน
คำแนะนำ
ใช้ร่วมกับยาคลินดามัยซิน ควรใช้เป็นสูตรทางเลือกสำหรับการรักษาโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติสระดับเบาถึงปานกลาง (เด็กและวัยรุ่น) และโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติสระดับปานกลางถึงรุนแรง (วัยรุ่น)
ไม่มีข้อมูลสำหรับเด็ก ขนาดยาขึ้นอยู่กับการใช้ยาเหล่านี้เพื่อรักษาการติดเชื้ออื่นๆ
รูปแบบของยา
ขนาดและรูปแบบของยามีดังนี้
- ยาเม็ดสำหรับรับประทาน
- ยาผงผสม
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]