หลายคนอาจมีความคิดที่ว่าคนที่เป็นโรคจิตเภทนั้นเป็นคนที่น่ากลัว แต่ความจริงแล้วยังมีหลายคนที่ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของจิตเภทอีกมากมาย ไม่เพียงเท่านั้น บางคนอาจจะรู้สึกว่าตัวเองอาจจะกำลังเข้าข่ายเป็นโรคจิตเภทอยู่ บทความนี้ Hello คุณหมอ ได้ทำการรวบรวม สัญญาณเตือนว่าควรพบนักบำบัด ที่คุณควรรู้ เพื่อการสำรวจตนเองในเบื้องต้น มาฝากกันค่ะ
ทำความรู้จักกับ นักบำบัด และ นักจิตวิทยา
นักบำบัด (Therapist) และ นักจิตวิทยา (Psychologist) คือ คนที่ศึกษาจิตใจและพฤติกรรม โดยส่วนใหญ่แล้วคนมักจะนึกถึง การพูดคุยบำบัด (Talk therapy) เมื่อพวกเขาได้ยินคำว่า “นักจิตวิทยา”
อาชีพนี้จริงๆ แล้วมีความหลากหลายของสาขาพิเศษ รวมถึงการวิจัยสัตว์ และพฤติกรรมองค์กร นักบำบัด หรือนักจิตวิทยา จึงอาจหมายถึง
- คนที่ใช้ความรู้และการวิจัยทางจิตวิทยา เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ เช่น รักษาอาการป่วยทางจิต
- ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางสังคม เพื่อทำการวิจัยทางจิตวิทยาและสอนที่วิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย
ทางสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (The American Psychological Association หรือ APA) มีหน่วยงานที่แตกต่างกันถึง 54 แผนก โดยแต่ละแผนกจะมีความสามารถเฉพาะด้านหรือด้านจิตวิทยา แม้นักบำบัดจะมีหลายประเภทแต่พวกเขาจะถูกแยกออกเป็น 3 ประเภทที่แตกต่างกัน ดังนี้
- นักจิตวิทยาที่ประยุกต์ใช้หลักการทางจิตวิทยาและการวิจัย เพื่อแก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งได้แก่ นักจิตวิทยาการบิน นักจิตวิทยาวิศวกรรม นักจิตวิทยาองค์กรอุตสาหกรรม และนักจิตวิทยาปัจจัยมนุษย์
- นักจิตวิทยาที่ทำการวิจัย ดำเนินการศึกษา และทดลองกับมนุษย์หรือสัตว์ นักจิตวิทยาการวิจัยมักทำงานให้กับมหาวิทยาลัย ธุรกิจส่วนตัว หรือหน่วยงานของรัฐ งานวิจัยของพวกเขาอาจมุ่งเน้นไปที่ความหลากหลายของสาขาวิชาเฉพาะด้านจิตวิทยา ซึ่งรวมถึงการรับรู้ประสาท วิทยาศาสตร์ บุคลิกภาพ การพัฒนา และพฤติกรรมทางสังคม
- นักจิตวิทยาด้านสุขภาพจิต ส่วนใหญ่จะทำงานร่วมกับผู้ที่มีปัญหาด้านจิตใจ หรือความทุกข์ทางจิตใจ พวกเขามักทำงานในโรงพยาบาล คลินิกสุขภาพจิต โรงเรียน หน่วยงานของรัฐ หรือการปฏิบัติหน้าที่แบบส่วนตัว ตัวอย่างของนักจิตวิทยาด้านสุขภาพจิต ได้แก่ นักจิตวิทยาคลินิก นักจิตวิทยาการให้คำปรึกษา และนักจิตวิทยาโรงเรียน
สัญญาณเตือนว่าควรพบนักบำบัด มีอะไรบ้าง
หลังจากทำความรู้จักกับนักบำบัดหรือนักจิตวิทยากันไปแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเรื่องของสัญญาณเตือนว่าควรพบนักบำบัดกันบ้างดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง เพื่อคุณอาจจะได้สังเกตตัวเองว่ากำลังมีสัญญาณเตือนเหล่านี้เกิดขึ้นหรือไม่ เพื่อจะได้รับการรักษาในขั้นตอนต่อไปอย่างทันท่วงที
รู้สึกสิ้นหวัง
ความสิ้นหวังนั้นแตกต่างจากความโศกเศร้า การรู้สึกว่าไม่มีความหวังหรือรู้สึกไร้คุณค่าเป็นสัญญาณของภาวะซึมเศร้า (Depression) ความคิดที่สิ้นหวังอาจรวมถึงสิ่งต่างๆ เช่น การกังวลว่าคุณไม่มีอนาคต หรือคุณจะไม่มีความสุข คุณอาจจะรู้สึกไม่ได้รับการกระตุ้นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ของคุณให้ดีขึ้น
กังวลอย่างต่อเนื่อง
ความกังวลในปริมาณที่น้อยถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าคุณกังวลอยู่เสมอว่าจะมีบางสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นก็สามารถเป็นสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้คุณเพลิดเพลินกับชีวิตได้ ในกรณีที่คุณมีความกังวลมาเป็นเวลาหลายเดือนและไม่สามารถหยุดความกังวลนั้นได้ นั่นเป็นสัญญาณของความวิตกกังวล (Anxiety) นอกจากนั้นยังอาจเกิดสัญญาณทางกายภาพ เช่น ปวดท้อง และปวดศีรษะ
เกิดความขัดแย้งในความสัมพันธ์
ปัจจัยกระตุ้นบางอย่างอาจทำให้การแต่งงานหรือความสัมพันธ์แย่ลง ตัวอย่างเช่น การมีลูก หรือการไม่เห็นด้วยกับเรื่องเงิน คนส่วนใหญ่มักเฝ้ารอการบำบัดแบบคู่รัก แต่คุณต้องเปิดใจให้กับนักบำบัด และให้ความเคารพกับพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้สร้างการสื่อสารที่ดีเพื่อความสัมพันธ์ของคุณ
นอนมากเกินไปหรือนอนน้อยเกินไป
ถ้าคุณนอนหลับยาก หรือว่านอนมากกว่าปกติ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวล เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการนอนหลับ และการนอนหลับไม่ดีอาจทำให้อาการของคุณแย่ลง นอกจากนั้นการนอนหลับที่ไม่ดีอาจเกิดขึ้นในช่วงที่เครียดเป็นพิเศษ
ถ้าการนอนไม่หลับยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายสัปดาห์ คุณอาจจะต้องได้รับการบำบัด เช่น การบำบัดพฤติกรรมทางปัญญาสำหรับโรคนอนไม่หลับ (Cognitive behavioral therapy for insomnia; CBT-I) ซึ่งมันสามารถช่วยได้
สูญเสียความกระหายหรือกินมากเกินไป
หากคุณกำลังกินมากเกินไปหรือไม่รู้สึกหิวเลย รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักหรือความอยากอาหาร อันนี้เป็นหนึ่งของสัญญาณอาการภาวะซึมเศร้า
การใช้สารเสพติด
หากคุณเป็นนักดื่มหรือใช้สารเสพติด เพื่อรับมือรับมือกับความกังวลที่เกิดขึ้น การบำบัดด้วยการให้คำปรึกษาจากนักบำบัด อาจทำให้คุณเข้าใจได้มากขึ้นว่าทำไมคุณถึงกำลังใช้สารเสพติด แล้วควรจะลดและเลิกมันซะ
หงุดหงิด ใจร้อนเป็นส่วนใหญ่
ถ้าคุณกำลังรู้สึกว่าตัวเองมีการหงุดหงิดหรือใจร้อนเป็นส่วนใหญ่ คุณอาจจะต้องพิจารณาดูว่ามีสิ่งไหนกำลังรบกวนคุณอยู่หรือไม่ ซึ่งบางครั้งการไปพบนักบำบัดอาจจะทำให้คุณเจอสาเหตุของความหงุดหงิดหรืออารมณ์ร้อนที่เกิดขึ้นได้
สูญเสียความสนใจในกิจกรรม
สัญญาณอีกอย่างที่คุณต้องการบำบัดก็คือ “ความเรียบเฉย หรือ ความเฉยชา” ซึ่งนี่เป็นปัญหาที่สำคัญเป็นอย่างมาก ถ้าคุณพบว่าตัวเองพยายามหลีกเลี่ยงจากกิจกรรมที่คุณเคยสนุก หรือหลีกเลี่ยงสถานการณ์ทางสังคมโดยสิ้นเชิง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณสำคัญที่จะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ