โรคข้ออักเสบไรเตอร์ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียคลาไมเดีย ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ทั้งในน้ำอสุจิและน้ำจากช่องคลอด สามารถติดต่อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ส่งผลให้เกิดอาการข้ออักเสบ มีอาการของโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะและเยื่อบุตาอักเสบ ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการบาดเจ็บที่ผิวหนัง และเยื่อเมือกบุผิว
โรคข้ออักเสบไรเตอร์ คืออะไร
โรคข้ออักเสบไรเตอร์ (Reiter’s Syndrome) หรือโรคข้ออักเสบรีแอคตีฟ (Reactive Arthritis) เป็นโรคในกลุ่มโรคข้อและกระดูกสันหลังอักเสบ (Spondyloarthropathy) ซึ่งถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นโรคข้ออักเสบ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยมีเพียงอาการข้ออักเสบอย่างเดียว แต่อาจมีอาการของโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะและเยื่อบุตาอักเสบร่วมด้วย ในผู้ป่วยบางรายยังพบว่ามีรอยโรค (Lesions) หรืออาการบาดเจ็บที่ผิวหนังและเยื่อเมือกบุผิว
โรคข้ออักเสบไรเตอร์ติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์จริงไหม
โรคข้ออักเสบไรเตอร์มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อคลาไมเดีย (Chlamydia trachomatis) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ทั้งในน้ำอสุจิและน้ำจากช่องคลอด สามารถติดต่อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ฉะนั้น หากทำกิจกรรมทางเพศ หรือมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน หรือใช้เซ็กส์ทอยร่วมกับผู้อื่น ก็อาจเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างการติดเชื้อคลาไมเดีย และเสี่ยงเป็นโรคข้ออักเสบไรเตอร์
นอกจากจะมีสาเหตุมาจากเชื้อคลาไมเดียที่ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์แล้ว โรคข้ออักเสบไรเตอร์ยังอาจติดต่อพร้อมกับการติดเชื้อแบคทีเรียในน้ำและอาหารที่บริโภคได้ด้วย เช่น
- ซาลโมเนลลา (Salmonella)
- แคมไพโลแบคเตอร์ (Campylobacter)
- ชิเจลลา (Shigella)
- เยอซิเนีย (Yersinia)
- คลอสตริเดียม ดิฟฟิไซล์ (Clostridium difficile)
อาการของโรคข้ออักเสบไรเตอร์
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบไรเตอร์ ไม่ได้มีอาการแค่ที่ข้อต่อเท่านั้น แต่ยังอาจมีอาการที่อวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกายด้วย ซึ่งสามารถสังเกตอาการของโรคข้ออักเสบไรเตอร์ได้ ดังนี้
อาการโรคข้ออักเสบ
- ข้อต่ออักเสบ ปวดบวม โดยเฉพาะบริเวณหัวเข่า ข้อเท้า และเท้า
- ปวดตามจุดยึดเส้นเอ็น เช่น จุดยึดเอ็นใต้ฝ่าเท้า จุดยึดเอ็นร้อยหวาย (บริเวณส้นเท้า) จุดยึดเอ็นแถวกระดูกเชิงกราน
- มีกระดูกงอกบริเวณส้นเท้า (จุดยึดเอ็นร้อยหวาย) ทำให้ปวดเรื้อรัง
- กระดูกสันหลังอักเสบ
- ปวดหลังส่วนล่าง และมีอาการข้อติดตอนเช้า (Morning Stiffness)
เวลาปวดมักจะปวดพร้อมกันหลายจุด อาการเป็น ๆ หาย ๆ เดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบา และมักมีอาการติดต่อกันนาน 1-4 เดือน
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ผู้ชาย
- ปัสสาวะเพิ่มขึ้น
- ปัสสาวะแสบขัด
- อาจมีสารคัดหลั่งออกมาจากอวัยวะเพศ โดยเฉพาะในช่วงเช้า
- ต่อมลูกหมากอักเสบ ทำให้มีไข้ หนาวสั่น
ผู้หญิง
- มีอาการอักเสบในระบบสืบพันธุ์ เช่น ปากมดลูกอักเสบ ท่อนำไข่อักเสบ ปากช่องคลอดอักเสบ
- ท่อปัสสาวะอักเสบ ทำให้ปัสสาวะแสบขัด
ผู้หญิงบางคนที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบไรเตอร์ อาจไม่แสดงอาการของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
ดวงตา
- ตาแดง
- เจ็บตา ระคายเคืองตา
- มองเห็นไม่ชัด
- เยื่อบุตาอักเสบ
- ม่านตาอักเสบ
นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการอื่น ๆ ด้วย เช่น
- ผิวหนังเป็นผื่น โดยเฉพาะที่ฝ่ามือ หรือฝ่าเท้า
- มีแผลในปาก หรือแผลที่ลิ้น
- น้ำหนักลด
- เบื่ออาหาร
- เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
- มีไข้
ปัจจัยเสี่ยงของโรคข้ออักเสบไรเตอร์
แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคข้ออักเสบไรเตอร์นั้นสามารถพบได้ทั่วไป ไม่ว่าใครก็มีโอกาสได้รับเชื้อจนพัฒนาเป็นโรคนี้ได้ แต่จากสถิติพบว่า โรคนี้พบมากในกลุ่มผู้ชายวัย 20-40 ปี โดยผู้ป่วยส่วนหนึ่งถูกตรวจพบว่ามียีนที่เรียกว่า HLA-B27 อยู่ในร่างกาย และผู้ป่วยที่มียีนนี้มักมีอาการของโรคกำเริบเฉียบพลัน รุนแรง และเรื้อรังกว่าคนที่ไม่มียีนนี้ด้วย นั่นหมายความว่า ผู้ที่มียีน HLA-B27 อาจมีความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้มากกว่า
แต่นอกจากคนกลุ่มนี้แล้ว ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำเนื่องจากติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะหากอยู่ในระยะเอดส์ ก็เสี่ยงเป็นโรคข้ออักเสบไรเตอร์ได้เช่นกัน ยิ่งถ้าเป็นผู้ป่วยเอชไอวีที่มียีน HLA-B27 ด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 75% และหากคุณหมอตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคข้ออักเสบไรเตอร์ ก็อาจให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารด้วย
วิธีรักษาและป้องกันโรคข้ออักเสบไรเตอร์
การรักษาโรคข้ออักเสบไรเตอร์
การรักษาโรคข้ออักเสบไรเตอร์ คุณหมอจะต้องพิจารณาถึงอาการที่เป็น ว่ามีอาการอะไรบ้าง และอาการรุนแรงแค่ไหน รวมถึงอายุ และภาวะสุขภาพด้วย โดยวิธีรักษาโดยทั่วไป เช่น
- ใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อ
- ใช้ยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal Anti-inflammatory Drug หรือ NSAID) และยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เพื่อลดอาการอักเสบ
- ใช้ยายากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressive drug) เช่น เมโธเทรกเซท (Methotrexate) เพื่อควบคุมอาการอักเสบ
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อลดอาการปวดและอักเสบ
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก กล้ามเนื้อ และข้อต่อ ทำให้อวัยวะดังกล่าวทำงานดีขึ้น
วิธีป้องกันโรคข้ออักเสบไรเตอร์
- ใช้อุปกรณ์ป้องกันการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น แผ่นยางอนามัย ถุงยางอนามัย ทุกครั้งเมื่อทำกิจกรรมทางเพศ
- มีความสัมพันธ์กับคู่เพียงคนเดียว หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า ความสัมพันธ์แบบผัวเดียว-เมียเดียว (Monogamous Relationship)
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ หากเคยมีเพศสัมพันธ์ควรตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย
- ล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบจับอาหาร หรือกินอาหาร
- กินอาหารที่ปรุงสุก สะอาด ถูกหลักอนามัย
[embed-health-tool-ovulation]