เริม เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) มักพบบริเวณช่องปากและอวัยวะเพศ หรือผิวหนังที่มีแผลเปิดหรือรอยถลอก ผู้ติดเชื้อไวรัสเริมอาจรู้สึกเจ็บปวดบริเวณผิวหนังที่ได้รับผลกระทบ หรือเป็นแผลที่มีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใส ส่วนใหญ่แล้ว อาการของเริมสามารถหายเองได้ แต่ก็ควรปรึกษาคุณหมอ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น มีไข้ เป็นแผลภายในช่องปาก กระเพาะปัสสาวะและทวารหนักอักเสบ
[embed-health-tool-ovulation]
คำจำกัดความ
เริม คืออะไร
เริม คือ การติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การจูบ การใช้สิ่งของร่วมกับผู้ติดเชื้อไวรัส เป็นต้น จนนำไปสู่การเกิดแผลตุ่มน้ำใส มีอาการปวดแสบ ร้อนรอบบริเวณริมฝีปาก ในช่องปาก ผิวหนังบนอวัยวะเพศ ช่องคลอด ทวารหนัก หรือที่เรียกว่า เริมที่ปาก เริมที่อวัยวะเพศ เป็นต้น การติดเชื้อไวรัสเริมอาจเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเด็กอายุ 1-2 ปี ที่อาจพบแผลบริเวณริมฝีปากจากไวรัสเริมบ่อยที่สุด ส่วนมากเกิดจากการได้รับเชื้อจากคุณแม่ระหว่างคลอด หรือจากผู้เลี้ยงดู นอกจากนี้ ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน เช่น การไม่สวมใส่ถุงยางอนามัย ก็อาจติดเชื้อไวรัสเริมได้เช่นกัน
อาการ
อาการของเริม
อาการของเริมอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้
- อาการเริมที่ปาก หลังจากรับเชื้อไวรัสเริม ไวรัสอาจใช้เวลาฟักตัว 2-12 วัน ก่อนทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ อารมณ์แปรปรวน อาการคัน หรือปวดแสบบริเวณผิวหนัง ก่อนมีแผลตุ่มน้ำใส จะปรากฏบนริมฝีปาก เหงือก ลิ้น กระพุ้งแก้ม และอาจทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่คอบวม
- อาการเริมที่อวัยวะเพศ อาจทำให้ผู้ติดเชื้อไวรัสเริมรู้สึกคัน เจ็บปวดและเป็นแผล หรืออาจมีตุ่มแดงหรือตุ่มสีขาวเล็ก ๆ ขึ้นบริเวณที่ได้รับผลกระทบ เช่น ก้น ต้นขา ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ หากแผลแตกอาจก่อให้เกิดสะเก็ดหรือมีผิวหนังลอก การติดเชื้อที่อวัยวะเพศในผู้หญิงมักมีแผลปรากฏภายในและภายนอกช่องคลอด อวัยวะเพศ ปากมดลูก ส่วนผู้ชายอาจมีแผลปรากฏบริเวณองคชาตและถุงอัณฑะ หรือรอบทวารหนักได้
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการขาดน้ำ รู้สึกแสบคัน ระคายเคือง และเจ็บปวดอวัยวะเพศ ควรเข้ารับการวินิจฉัยจากคุณหมอทันที เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะอวัยวะเพศและระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ และความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
สาเหตุ
สาเหตุที่ทำให้เป็นเริม
สาเหตุที่ทำให้เป็นเริม คือ การติดเชื้อไวรัสเอชเอสวี หรือ Herpes Simplex Virus (HSV) ซึ่งมีด้วยกัน 2 ชนิด ดังนี้
- เอชเอสวี-1 (HSV1) ส่งผลให้เกิดแผลรอบริมฝีปากหรือในช่องปาก แพร่กระจายได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ซึ่งบางครั้งอาจส่งผลให้ติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศได้ด้วย นอกจากนี้ การสัมผัสกับเชื้อไวรัสที่อยู่ในสารคัดหลั่งผ่านการจูบ การใช้ช้อนหรือส้อมคันเดียวกัน ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน เป็นต้น ก็อาจส่งผลให้ได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้เช่นเดียวกัน
- เอชเอสวี-2 (HSV2) อาจพบได้บ่อยและแพร่กระจายได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ จนนำไปสู่การเกิดเริมบริเวณอวัยวะเพศ หรืออาจได้รับเชื้อผ่านการสัมผัสรอยโรคหรือแผลที่ผิวหนังของผู้ติดเชื้อได้ด้วย
ซึ่งปัจจุบัน HSV1 และ HSV2 อาจมีการติดเชื้อร่วมกัน หรือไม่จำเพาะต่อบริเวณริมฝีปากและอวัยวะเพศเพียงตำแหน่งเดียว เนื่องจากพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ที่หลากหลายเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของเริม
ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) มีดังนี้
- มีคู่นอนหลายคน
- ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นโรคเริมมากกว่าผู้ชาย เพราะไวรัสแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์จากชายสู่หญิงได้ง่ายกว่าจากหญิงสู่ชาย
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
- สัมผัสกับสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย ผ่านการจูบ การใช้สิ่งของร่วมกัน เป็นต้น
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยเริม
การวินิจฉัยเริมอาจแตกต่างกันตามบริเวณที่ติดเชื้อ สำหรับเริมที่ปากและเริมที่อวัยวะเพศ คุณหมออาจทดสอบด้วยวิธีทางการแพทย์ ดังต่อไปนี้
- การเก็บตัวอย่างเลือดไปตรวจหาแอนติบอดีต่อ Herpes Simplex Virus (HSV) หากพบอาจหมายถึงเคยติดเชื้อไวรัสชนิดนี้
- การทดสอบด้วยเทคนิคแซ๊งสเมียร์ (Tzanck smear) ซึ่งเป็นการตรวจจากรอยโรค โดยการเจาะตุ่มแล้วขูดเซลล์บริเวณฐานก้นแผลไปตรวจ
- การทดสอบปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส (PCR) เป็นกระบวนการสังเคราะห์ดีเอ็นเอจากเลือด เนื้อเยื่อ หรือน้ำไขสันหลัง เพื่อหาเชื้อและวิเคราะห์ประเภทของ Herpe Simplex Virus (HSV)
การรักษาเริม
คุณหมออาจรักษาเริมที่ปากด้วยยาบรรเทาอาการปวด เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) หรืออาจฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำ วิธีรักษาด้วยการฉีดยานี้อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันปกติ แต่คุณหมอจะใช้กับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทารกอายุต่ำกว่า 6 สัปดาห์ และผู้ป่วยที่มีประวัติป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ร่วมกับการใช้ยาต้านเชื้อไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir)
สำหรับเริมที่อวัยวะเพศ คุณหมอจะให้ยาต้านเชื้อไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) แบบรับประทาน เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ลดอาการรุนแรง ลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส หรือลดการกลับเป็นเริมซ้ำ
นอกจากนี้ สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสเริมควรรักษาด้วยการใช้ยาต้านเชื้อไวรัสตามที่คุณหมอกำหนด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ทารกตอนคลอด บางกรณี คุณหมออาจจำเป็นต้องผ่าคลอดในรายที่ใกล้ระยะคลอด แต่ยังมีรอยโรคเริมอยู่ที่อวัยวะเพศ เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังทารก
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันเริม
การป้องกันโรคเริม คือ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลและสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย น้ำเหลือง ของผู้ติดเชื้อ ไม่ควรใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น และสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์