ลมพิษอาจแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้
- ลมพิษเฉียบพลัน มีอาการผื่นลมพิษไม่เกิน 6 สัปดาห์ มักเกิดจากสาเหตุการแพ้อาหาร แพ้ยาบางชนิด หรือเกิดหลังการติดเชื้อ
- ลมพิษเรื้อรัง มักเป็นนานกว่า 6 สัปดาห์ เป็นประเภทที่อาจบ่งชี้ถึงสาเหตุได้ยาก แต่อาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ไวรัสตับอักเสบ หรือหาสาเหตุไม่ได้
- ลมพิษจากสาเหตุทางกายภาพ เป็นประเภทที่เกิดจากสิ่งเร้าไปกระตุ้น เช่น ความเย็น ความร้อน เหงื่อ อาการมักบรรเทาลงภายใน 1 ชั่วโมง
- ลมพิษตามรอยขูดผิวหนัง เกิดขึ้นหลังจากลูบหรือเกาบริเวณที่เป็น อย่างไรก็ตาม ผื่นประเภทนี้อาจพบร่วมกับลมพิษเฉียบพลันหรือลมพิษเรื้อรังได้เช่นกัน
การวินิจฉัยอาการลมพิษ
โดยส่วนใหญ่คุณหมออาจวินิจฉัยด้วยการดูที่บริเวณผิวหนัง เพื่อหาสาเหตุและอาจสอบถามประวัติ เช่น การใช้ยา การรับประทานอาหาร การสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ นอกจากนี้ คุณหมออาจทดสอบบางอย่างเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด การทดสอบการแพ้
การรักษาลมพิษ
หากเป็นลมพิษ อาจลองประคบเย็นประมาณ 2-3 นาที เพื่อบรรเทาอาการคัน และที่สำคัญไม่ควรเกาบริเวณที่เกิดลมพิษ เพราะอาจทำให้ผื่นลุกลามและเกิดการอักเสบได้ หากอาการไม่ทุเลา อาจรักษาด้วยการรับประทานยา ดังนี้
- ยาแก้แพ้ หรือยาต้านฮีสตามีน เช่น ลอราทาดีน (Loratadine) เซทิริซีน (Cetirizine) ไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine) อาจช่วยบรรเทาอาการคันได้
- ยาต้านการอักเสบ เช่น เพรดนิโซน (Prednisone) ช่วยลดอาการบวม การอักเสบ และอาการคัน
- ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ไซโคลสปอริน (Cyclosporine) ทาโครลิมัส (Tacrolimus) หากยาต้านฮีสตามีนไม่ช่วยบรรเทาอาการลมพิษได้
- ฉีดอะดรีนาลีน หากมีอาการลมพิษที่รุนแรง หรือใช้ในกรณีที่ฉุกเฉิน
การป้องกันการเป็นลมพิษ
- หลีกเลี่ยงสิ่งที่ส่งผลทำให้เกิดการแพ้ รวมถึงควรสังเกตอาการผิดปกติที่ก่อให้เกิดลมพิษ ทั้งนี้ สามารถตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ได้ที่โรงพยาบาลหรือคลินิกที่มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังเพื่อค้นหาสิ่งที่กระตุ้นทำให้เกิดลมพิษ
- หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น ควรสวมเสื้อผ้าที่หลวมและระบายอากาศได้ดี
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย