สิวหัวช้าง เป็นสิวที่มีอาการอักเสบชนิดรุนแรงที่สุด ซึ่งเกิดเชื้อแบคทีเรีย น้ำมัน และเซลล์ผิวที่ตายแล้วไปอุดตับบริเวณรูขุมขน ส่งผลทำให้เกิดตุ่มแดงขนาดใหญ่และมีหนองอยู่ภายใน ลักษณะคล้ายกับสิวซีสต์ที่เกิดอยู่ใต้ผิว เมื่อสัมผัสแล้วอาจทำให้เกิดอาการเจ็บ คัน นอกจากนี้ การรักษาที่ไม่ถูกวิธีอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้
[embed-health-tool-bmr]
สิวหัวช้าง คืออะไร
สิวหัวช้าง คือ สิวอักเสบชนิดรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการอุดตันของของระบบต่อมไขมันในรูขุมขน ซึ่งได้รับการกระตุ้นจากฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศชาย บางครั้งอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่งผลทำให้เกิดตุ่มแดงขนาดใหญ่และมีหนองอยู่ภายใน ลักษณะคล้ายกับสิวซีสต์ที่เกิดอยู่ใต้ผิว เมื่อสัมผัสแล้วอาจทำให้เกิดอาการเจ็บ คัน โดยสิวหัวช้างอาจเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย
อาการของสิวหัวช้าง
สิวหัวช้างเป็นสิวที่เกิดจากถุงและก้อนสิวนูนขึ้นแล้วมีเลือดและหนองเข้าไปคั่งอยู่ โดยส่วนใหญ่แล้วสิวทุกประเภทมักไม่มีอาการใด ๆ แต่อาจส่งผลทางด้านอารมณ์และความมั่นใจในตัวเอง แต่สิวหัวช้างเป็นสิวขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน อาจจะทำให้มีอาการเจ็บปวด ร่วมด้วยได้ โดยอาการของสิวหัวช้างที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
- เจ็บปวดเมื่อสัมผัส รวมถึงอาจมีอาการคันร่วมด้วย
- อาการอักเสบ
- อาการบวมแดงรอบฐานสิว
- มีหนอง
นอกจากนี้ หากทิ้งสิวหัวช้าไว้นานโดยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นและความสร้างความเสียหายกับผิวได้ดังนี้
- หลุมสิวทั้งแบบเล็ก ๆ หรือเป็นรอยลึก
- หลุมสิวขนาดใหญ่
- รอยขรุขระ
- แผลเป็นที่เป็นรอยนูนแดง
สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวหัวช้าง
ยังไม่ทราบถึงปัจจัยที่แน่ชัดว่าสิวเกิดจากอะไร แต่อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย น้ำมัน และเซลล์ผิวที่ตายแล้วไปอุดตันในรูขุมขน นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากสาเหตุเหล่านี้
- กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีพ่อ แม่ หรือญาติเป็นสิวหัวช้าง อาจมีแนวโน้มที่จะเป็นสิวหัวช้างได้มากกว่าปกติ
- ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน เทสโทสเทอโรน เอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้น อาจไปกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน ส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามาก
- การตั้งครรถ์
- การมีประจำเดือน
- อยู่ในช่วงวัยหมดประจำเดือน
- ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic ovarian syndrome)
- ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดอาจไปกระตุ้นการผลิตไขมันให้เพิ่มขึ้น
- ผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น ลิเทียม กลุ่มยาคอร์ติโคสเตียรอยด์
- รับประทานอาหารที่มีแป้ง ไขมัน และน้ำตาลสูงเป็นประจำ รวมถึงของทอด ของมัน ผลิตภัณฑ์จากนม ช็อกโกแลต ซึ่งอาหารเหล่านี้อาจไปกระตุ้นการเกิดสิว
- การเสียดสี เช่น การสวมหมวกกันน็อคที่หลวมหรือแน่นเกินไป
- มลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่น ควันรถ ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิว
วิธีรักษาสิวหัวช้าง
สำหรับวิธีการรักษา สิวหัวช้า คุณหมออาจรักษาด้วยวิธีต่อไปนี้
- รับประทานยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อ เช่น ด็อกซีไซคลีน (Doxycycline) เพื่อช่วยควบคุมเชื้อแบคทีเรียและลดอาการอักเสบ แต่บางครั้งสิวหัวช้างอาจไม่ตอบสนองต่อยาปฎิชีวนะ เนื่องจากมีการอักเสบมาก
- รับประทานยาคุมกำเนิด เนื่องจากสิวอาจเกิดจากประจำเดือน ทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน การรับประทานยาคุมที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจนเตอโรนเป็นส่วนประกอบอาจช่วยลดสิวได้
- รับประทานยายาไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin) ซึ่งอาจช่วยจัดการกับสาเหตุของการเกิดสิว โดยอาจต้องรับประทานสัปดาห์ละ 3-7 เม็ด เป็นเวลา 4-6 เดือน ซึ่งอาจช่วยให้สิวหายไป แต่ยาชนิดนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ เพราะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ทำให้พิการได้
- รับประทานยาสไปโรโนแลคโตน(Spironolactone) ซึ่งเป็นยาขับปัสสาวะ และอาจช่วยรักษาสิวหัวช้างในผู้หญิงได้
- ใช้ครีม โลชั่น หรือเจล ที่มีส่วนผสมของเรตินอล ซึ่งเป็นวิตามินเอรูปแบบหนึ่ง ลดการอักเสบและช่วยลดรอยสิว
วิธีป้องกันการเกิดสิว
การปรับพฤติกรรมบางอย่างอาจช่วยป้องกันการเกิดสิวหัวช้างได้ เช่น
- ล้างหน้า อาบน้ำ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งด้วยสบู่อ่อน ๆ รวมถึงควรสระผมเป็นประจำ เพื่อลดความมันบนหนังศีรษะ
- หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสกับผิวหน้า เพราะมืออาจมีสิ่งสกปรก เชื้อโรค เชื้อแบคมีเรียที่อาจก่อให้เกิดสิวได้
- โกนขนด้วยความระมัดระวัง และควรโฉลมน้ำสบู่ทำให้เส้นขนนิ่มก่อนโกน และควรโกนขนเมื่อมีความจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
- หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดมากเกินไป แต่หากต้องออกไปข้างนอกควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป รวมถึงการสวมเสื้อแขนยาว แว่นกันแดด และหมวก เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด
- หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้ารัดรูป เพื่อลดการอักเสบและระคายเคืองของผิวหนัง
- ล้างเครื่องสำอางออกทุกครั้ง เพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หากจะใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ หรือครีมกันแดดควรดูฉลากผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมัน และเหมาะสมกับสภาพผิว
- ลดอาหารประเภทของมัน ของทอด (มีผลในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น)
- ควรเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม รวมถึงผ้าเช็ดตัวที่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรียอยู่เสมอ อย่างน้อยทุก ๆ 1-2 สัปดาห์